เปรี้ยวและแอ๋มจะคืนดีกันได้อย่างไร???

"การจองเวร ไม่สำคัญว่าใครเป็นผู้ผูกเวรก่อน ไม่สำคัญว่าใครทำกรรมก่อน แต่สำคัญที่ว่าใครละเวรละกรรมก่อน ใครคลายปมก่อน ใครวางก่อนก็ย่อมเบาก่อน"

อนึ่ง เราท่านทั้งหลาย ที่ไม่มีเรื่องผูกเวรดังกล่าว อย่ารอช้าให้รีบมาสวดมนต์ธัมมจักฯ เพื่อจิตใจที่สุขสงบ ร่มเย็น สะอาดบริสุทธิ์ ผ่องใส ขึ้นไปเป็นลำดับๆ” 


การจองเวรข้ามชาตินั้นมีจริงและเป็นอันตรายมาก กรรมแบบนี้ไม่ทำความเจริญให้ฝ่ายใดเลย  ผู้ที่จองเวรกันมาเขาจะสะใจ ไม่สะเทือนเมื่อได้ทำร้ายกัน เพราะเขาผูกเวรพยาบาทอาฆาตจองเวร ล้างผลาญกันมา ชาติต่อไปคนที่ถูกทำร้ายก็เอาคืน  ชาติถัดไป อีกคนก็เอาคืน ทุกชาติที่เจอกัน ก็จะสลับกันทำร้ายกัน

ไม่จำเป็นต้องเกิดเป็นคนทั้งคู่  แม้เกิดเป็นสัตว์ทั้งคู่ก็ฆ่ากันได้  แม้คนหนึ่งเป็นคน อีกคนเป็นเดรัจฉานก็ตามฆ่ากัน เช่น วัวที่ขวิดชายที่เพิ่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ตาย เพราะผูกเวรกันมา เว้นแต่ได้เจอยอดกัลยาณมิตร ตัวอย่างเช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฝึกสมาธิ ฟังพระธรรมเทศนา บรรลุธรรม วิบากกรรมนี้ก็จะหมด


เรื่องนางยักษิณีและนางกุลธิดา

ในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เล่าถึงเรื่องราวของนางยักษิณีและนางกุลธิดา ใจความว่า.......... 
ชายคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้วได้ทำงานแทนบิดาอย่างหนัก มารดาจึงจะหาหญิงมาช่วยทำงานแบ่งเบาเบาภาระ ชายคนนี้จึงขอให้มารดาไปขอหญิงที่ตนชอบใจมาเป็นภรรยา แต่อยู่ด้วยกันแล้วพบว่าหญิงนั้นเป็นหมัน มารดาจึงบอกบุตรชายว่าตระกูลของเราต้องมีลูกมีหลาน แม่จะเลือกภรรยาใหม่ให้ลูกสักคน แต่บุตรชายห้ามไว้ยังไม่อยากมีภรรยาอีกคน ฝ่ายภรรยาคิดว่าสามีของตนคงทัดทานมารดาได้ไม่นาน ถ้าสามีมีภรรยาอีกคนแล้วภรรยาใหม่ให้กำเนิดบุตร คราวนี้เธอจะหมดความหมายถูกใช้งานเหมือนนางทาสี คิดดังนี้แล้วจึงไปขอหญิงคนหนึ่งให้มาเป็นภรรยาน้อยสามี เพราะคิดว่าหญิงที่ตนเองหามาให้คงจะบังคับได้ นางสั่งกำชับภรรยาน้อยว่าถ้าเธอเริ่มตั้งครรภ์ให้บอกด้วย

ต่อมาไม่นานภรรยาน้อยก็ตั้งครรภ์ ภรรยาหลวงจึงทำข้าวต้มข้าวสวยบำรุงครรภ์ให้ แต่แอบใส่ยาทำลายครรภ์ลงไปด้วยทำให้ภรรยาน้อยแท้งบุตร ต่อมาภรรยาน้อยตั้งครรภ์อีกก็แท้งบุตรอีก เพื่อนและญาติภรรยาน้อยถามว่าตอนตั้งครรภ์ภรรยาหลวงทำอะไรให้บ้าง พอรู้ว่าภรรยาหลวงสั่งให้บอกแล้วทำอาหารมาบำรุงให้ก็รู้ว่าเป็นอุบายชั่วของภรรยาหลวง จึงสั่งกำชับว่าหากตั้งครรภ์อีกอย่าบอกภรรยาหลวงเป็นอันขาด
ต่อมาภรรยาน้อยก็ตั้งครรภ์อีก คราวนี้เธอไม่บอกภรรยาหลวง จนครรภ์ใหญ่ภรรยาหลวงจึงรู้เอง ภรรยาหลวงแค้นมากคอยหาโอกาสทำลายเด็กในครรภ์อยู่ตลอดเวลา จนภรรยาน้อยครรภ์แก่จึงเผลอตัวโดนภรรยาหลวงวางยาจนแท้งบุตรอีก แต่เพราะครรภ์แก่แล้วการแท้งบุตรคราวนี้ทำให้ภรรยาน้อยเจ็บปวดทรมานมากถึงขั้นเสียชีวิต


ก่อนตายภรรยาน้อยอาฆาตว่า “นางคนนี้ทำให้เราแท้งบุตรถึง ๓ หน เราตายไปแล้วจะขอเกิดมากินลูกของมันทุกคน” เมื่อตายไปแล้วภรรยาน้อยได้ไปเกิดเป็นแมวในเรือน ฝ่ายภรรยาหลวงถูกจับได้ว่าเป็นคนทำให้ภรรยาน้อยตาย จึงถูกสามีทุบตีตายตกไปตามกัน ตายแล้วไปเกิดเป็นแม่ไก่อยู่ในเรือน ต่อมาแม่ไก่ออกไข่ แม่แมวก็มากินไข่แม่ไก่จนหมดตามแรงอาฆาตถึง ๓ ครั้ง แม่ไก่จึงอาฆาตว่าถ้าตายจากชาตินี้เมื่อไรจะขอกลับมากินลูกแม่แมว
เมื่อแม่ไก่ตายแล้วได้ไปเกิดเป็นเสือเหลือง ส่วนแม่แมวไปเกิดเป็นวัว พอแม่วัวตกลูกก็ถูกแม่เสือเหลืองมากินลูกไปถึง ๓ ครั้ง แม่วัวจึงอาฆาตว่าถ้าตายจากชาตินี้แล้วจะขอเกิดมากินลูกแม่เสือเหลืองบ้าง

ก่อนทั้งคู่ได้เจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม่วัวตายแล้วไปเกิดเป็นนางยักษ์ ส่วนแม่เสือเหลืองเกิดเป็นกุลธิดาในกรุงสาวัตถี โตขึ้นออกเรือนไปอยู่กับสามีที่บ้านริมประตูเมือง เมื่อกุลธิดาให้กำเนิดบุตร นางยักษ์ที่รอโอกาสแก้แค้นอยู่จึงแปลงกายเป็นเพื่อนของนางทำทีมาเยี่ยมขอดูว่าบุตรเป็นหญิงหรือชาย พอได้โอกาสเข้าไปใกล้ทารกนางยักษ์ก็จับทารกกินเสีย ๒ ครั้ง พอตั้งครรภ์ที่สามกุลธิดาจึงบอกสามีว่ามีนางยักษ์มาคอยจ้องกินลูกของเราอยู่ เธอขอกลับไปคลอดที่บ้านเดิมเพื่อหนีนางยักษ์ ครั้งนี้กุลธิดาจึงคลอดบุตรอย่างปลอดภัย


ลำดับชาติที่ทั้งสองจองเวรกัน
เมียน้อย-นางแมว-นางเนื้อ-นางยักษ์
เมียหลวง-นางไก่-นางเสือเหลือง-กุลธิดา

ฝ่ายนางยักษ์ไม่ได้อยู่เฝ้าหญิงคู่อาฆาตเสียหลายเดือนเพราะต้องทำหน้าที่ตักน้ำจากสระอโนดาตไปถวายท้าวเวสสุวัณ เมื่อหมดเวรตักน้ำกลับมาไม่พบหญิงคู่อาฆาต ไต่ถามได้ความว่าเธอกลับไปคลอดบุตรที่บ้านเดิมนางยักษ์จึงตามไป วันนั้นกุลธิดากับสามีกำลังพาบุตรกลับบ้านเดิม ระหว่างทางได้หยุดพักอาบน้ำและให้นมบุตรที่ข้างเชตวันวิหาร กุลธิดาเห็นนางยักษ์กำลังเดินมาจึงวิ่งหนีเข้าไปในวิหาร อุ้มบุตรไปวางแทบบาทมูลองค์พระศาสดาที่กำลังแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัทกราบทูลขอให้พระพุทธองค์ช่วยชีวิตบุตรด้วย

ฝ่ายนางยักษ์ไล่ตามมาถึงหน้าประตูวิหารแต่เข้าไปข้างในไม่ได้เพราะเทพซุ้มประตูไม่ยอมให้เข้า พระศาสดาตรัสบอกให้พระอานนท์ไปเรียกนางยักษ์เข้ามา เทพซุ้มประตูจึงยอมให้นางยักษ์เข้าไปได้
นางยักษิณีร้องไห้ด้วยความอาฆาตเข้ามาในวิหาร พระศาสดาตรัสกับนางยักษ์ว่า
“นางยักษิณีจงมาเถิด เจ้าอย่าได้ร้องไปเลย เจ้าหยุดสร้างเวรอย่างนั้นได้แล้ว พวกเจ้าทั้งสองผูกเวรกันไว้แล้วระงับเวรด้วยการสร้างเวรใหม่ เวรของพวกเจ้าจึงผูกกันไปไม่มีวันสิ้นสุด เหมือนเวรของงูกับพังพอน ของหมีกับไม้สะคร้อ และของกากับนกเค้า เวรไม่อาจระงับด้วยการผูกเวร แต่ระงับได้ด้วยความไม่มีเวร”
ทรงตรัสพระคาถาว่า
น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน
เวรทั้งหลายในโลกนี้ไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยความไม่มีเวร

ในกาลจบพระคาถา นางยักษิณีก็ได้สติระงับเวรลงได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล นางยักษ์กับกุลธิดาจึงต่างเลิกจองเวรกัน แต่แล้วนางยักษิณีกลับร้องไห้ขึ้นมาอีก พระศาสดาตรัสถามว่านางยักษ์ร้องไห้ทำไม นางยักษ์กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อนข้าพระองค์เลี้ยงชีพด้วยการกินเนื้อสัตว์ยังได้อาหารไม่พออิ่มท้อง บัดนี้ ข้าพระองค์เลิกเบียดเบียนสัตว์แล้ว ข้าพระองค์จะเลี้ยงชีพได้อย่างไร” 

พระศาสดาได้ทรงสงเคราะห์นางยักษิณี ด้วยการแนะนำให้นางกุลธิดานำนางยักษิณีไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน และในแต่ละปีนางยักษิณีก็ได้คอยแนะนำนางกุลธิดา เช่นว่า “ในปีนี้ จะมีฝนดี ท่านจงปลูกข้าวในที่ดอนเถิด ในปีนี้ฝนจะแล้ง ท่านจงปลูกข้าวในที่ลุ่มเถิด” ซึ่งก็ส่งผลให้การทำนาของนางกุลธิดาในแต่ละปีได้ผลดี ไม่เสียหายตายแล้งหรือน้ำท่วม เหมือนนาของพวกเพื่อนบ้าน นางกุลธิดาก็ได้ตอบแทนบุญคุณของนางยักษิณีด้วยการนำอาหารการกินไปเลี้ยงดูนางยักษิณีทุกวัน เมื่อพวกชาวบ้านรู้ว่าที่นางกุลธิดาทำการเกษตรประสบความสำเร็จเป็นเพราะคำแนะนำของนางยักษิณีเช่นนั้น ก็ได้มาขอความช่วยเหลือให้นางยักษิณีช่วยเป็นที่ปรึกษาด้านการเกษตรให้แก่พวกตนบ้าง นางยักษิณีก็ได้ให้ความอนุเคราะห์เต็มความสามารถ จนพวกชาวบ้านทำการเกษตรได้ผลดีกันถ้วนหน้าในทุกปี ทำให้นางยักษิณีได้รับความเคารพนับถือ มีคนมาห้อมล้อมและได้ข้าวปลาอาหารอย่างเหลือเฟือจากพวกชาวบ้าน และนางยักษิณีนี้เองก็ยังเป็นต้นแบบของผู้ถวายสลากภัตเป็นคนแรก ซึ่งการถวายสลากภัตนี้ยังมีการปฏิบัติสืบต่อกันมาในหมู่ของชาวพุทธจวบจนกระทั่งทุกวันนี้

"เวรที่ผูกอาฆาตซึ่งกันและกัน ย่อมแผดเผาให้เร่าร้อนทั้งสองฝ่าย ดั่งถูกจองจำให้เกิดห้วงแห่งกองทุกข์ข้ามภพข้ามชาติ เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"


"ในกาลไหนๆ เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร นี่เป็นธรรมเก่า การผูกเวร ก็เหมือนกับการผูกพยาบาท เมื่อต่างฝ่ายต่างผูกใจเจ็บกันอยู่ เวรก็ไม่สามารถระงับลงได้ แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลิกผูกเวรเสียด้วยการให้อภัยและแผ่เมตตาให้เสมอๆ เวรย่อมระงับลงได้ในเวลาไม่นาน"

การไม่ผูกเวรทำให้จิตใจสบาย เมื่อใดใจผูกเวร เมื่อนั้นมองไปไหนก็เห็นแต่ศัตรู แต่เมื่อใดใจของเราไม่มีเวรกับใคร มีแต่เมตตาปรานี เมื่อนั้น มองไปทางใดก็เจอแต่มิตร

โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่ หากดูตัวอย่างเรื่องราวนางยักษิณีและนางกุลธิดา เปรี้ยวและแอ๋มมีโอกาสจะคืนดีกันได้ พวกเขาต้องได้พบยอดกัลยาณมิตร พบสุดยอดครูบาอาจารย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น  เพื่อนำไปสู่การบรรลุธรรม หมดกิเลส เป็นพระอริยบุคคลในที่สุด  จึงจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้ได้

ในกาลปัจจุบัน หากยังไม่พบยอดกัลยาณมิตร กระแสอันบริสุทธิ์ของพุทธมนต์หรือบทสวดที่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สามารถยังใจของทั้งมนุษย์และอมนุษย์ ให้สงบเยือกเย็นลงได้เช่นกัน  


\
อนึ่ง เราท่านทั้งหลาย ที่ไม่มีเรื่องผูกเวรดังกล่าว อย่ารอช้าให้ตั้งใจสวดมนต์ให้ได้ทุกวัน เช่นการสวดมนต์บทธัมมจักกัปวัตนสูตร จะสวดมนต์เอง หรือรวมกลุ่มสวดมนต์ที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน ที่วัดใกล้บ้าน หรือมาที่พระเจดีย์ที่มีพระพุทธรูปล้านองค์ ที่มีพระอาจารย์และสาธุชนมาสวดพระพุทธมนต์บทนี้ตลอด 24 ชั่วโมงด้วยบรรยากาศที่เป็นบุญกุศล เพื่อจิตใจที่สงบสุข ร่มเย็น สะอาดบริสุทธิ์ ผ่องใส ขึ้นไปเป็นลำดับๆ และให้กระแสความบริสุทธิ์ของพุทธมนต์เกิดขึ้นบนโลกนี้ให้มากที่สุด



                              สวดธัมมจักฯ ให้ใจอยู่กับบุญ  จิตใจจะสบายและสะอาดบริสุทธิ์ขึ้น แล้วชีวิตจะเป็นวงจรบวก 




ที่มา: 

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=11&p=4
https://www.facebook.com/cumluckdhamma/posts/838845989519604:0




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อัมพชาดก: มนต์เสื่อมเพราะลบหลู่ครูอาจารย์

คนที่ชอบด่าว่าหรือใส่ร้ายผู้อื่น กรรมจะมาเร็วมาก เป็นกรรมทางวาจา มีผลร้ายแรงมาก

ใจสบายไปทั่วโลก กับบทแผ่เมตตาภาษาอังกฤษ