คิดผิด คิดใหม่ ให้อภัยเธอเสมอ
ได้อ่านความเห็นต่างๆ ในวีดีโอนำนั่งสมาธิหนึ่งที่ผู้คนให้ความสนใจมาก
(เกือบสองล้านวิวแล้ว)
โดยรวมแล้วความเห็นต่างๆบอกว่า ฟังแล้วให้ความรู้สึกที่สงบ สบาย ทำให้ใจเย็น ....
“
ผมนั่งทุกวัน
จิตใจสงบนิ่งดีครับ คุณภาพชีวิตดีขึ้นมากเลย ใจเย็นลงนิ่งมากขึ้น ...”
“
ขอบคุณที่เอามาแชร์นะคะ ได้นำมานั่งแล้วดีมากเลยค่ะ”
“นั่งแล้วดีมากๆเลยค่ะ
ใจเย็นมากๆ”
“ เป็นการทำสมาธิที่ดีมาก
มีความสุข ผ่อนคลายจากความกังวลเรื่อง ทางโลก”
“ชอบมากคะ
เปิดฟังตลอด รู้สึกเย็น โล่ง เบา สบาย เหมาะมากกับผู้ฝึกนั่งใหม่ ขนาดนั่งมา 6
ปีแล้วยังชอบฟังอยุ่เลยคะ”
“พรุ่งนี้มีสอบครับ
เครียดมาก เลยต้องใช้การทำสมาธิมาช่วยให้ใจมันนิ่งลง ให้ใจมันสงบไม่คิดมาก
ขอบคุณนะครับ 😊😊😊”
“
นั่งแล้ว ทุกๆวันก่อนนอน รู้สึกดีครับ
ทำแบบนี้มา 3 ปีแล้ว รู้สึกหน้าใส ไม่ค่อยมีสิว
มีแต่สิ่งดีๆครับ”
มีคอมเมนท์หนึ่งที่พิเศษไม่เหมือนใคร โพสท์เมื่อ1เดือนที่ผ่านมานี้เอง
“
ข้าพเจ้าขอขมากรรมที่เคยร่วมว่าร้ายกับหลวงพ่อธัมมชโย
แม้ว่าเรื่องราวมันจะเป็นตามข่าวหรือไม่เป็นข้าพเจ้าก็ไม่ควรไปว่าร้ายท่าน
คือปล่อยให้เป็นเรื่องทางโลกเขาไป
ข้าพเจ้าได้ใช้วิดิทัศน์ในการทำสมาธิแล้วรู้สึกสบายใจขึ้น รู้สึกสดชื่นขึ้นทั้งที่ทำแค่งูๆๆปลา
ข้าพเจ้าขอให้ผลบุญที่หลวงพ่อที่ได้ธรรมทานในการทำสมาธินี้ขอให้หลวงพ่อมีสุขภาพแข็งแรงแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวงด้วยคะ
สาธุสาธุสาธุ”
ซึ่งก่อนหน้านี้ เธอผู้นี้ได้แสดงความคิดเห็นด้านลบต่อพระในวัดพระธรรมกายจริงๆ
แต่เมื่อ1 เดือนที่ผ่านมา เธอได้โพสท์ขอขมาหลวงพ่อธัมมชโย
ในลิงค์วีดีโอนำนั่งสมาธิ ดังกล่าว
เป็นไปได้ว่า เมื่อได้ฝึกสมาธิตามที่หลวงพ่อแนะนำในยูทูป เธอวางใจได้ดี
มีผลการปฏิบัติที่เจ้าตัวยอมรับว่าดีจริง
จึงกราบขอขมาหลวงพ่อธัมมชโยที่เคยว่าร้ายท่านและหมู่คณะ
ชื่นชมในความเป็นคนกล้าหาญของเธอ ที่เมื่อเข้าใจอะไรดีขึ้นแล้ว
มีการกล่าวขอโทษ กล่าวขอขมา บุคคลที่เธอเคยล่วงเกิน เพราะความไม่รู้
จากเรื่องราวนี้
ทำให้นึกถึงหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งใด อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญา คือ กาลามสูตร
นอกจากเป็นหลักในการพิจารณาความเชื่อแล้ว
โลกยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ค เป็นยุคที่เราต้องใช้ “กาลามสูตร” อย่างมาก ในการเชื่อข่าว
เพราะข่าวจะมาไวมาก ยังไม่รู้แน่เลยว่าเรื่องที่เป็นข่าว จริง หรือ ไม่จริง
แต่พอเป็นข่าวแล้ว คนจำนวนหนึ่งในสังคมพร้อมจะเชื่อ!!!
กาลามะ เป็นชื่อคนชาติพันธุ์หนึ่ง
รวมตัวกันอยู่ในหมู่บ้านเกสปุตติยนิคม ในเขตแดนแคว้นโกศล
แคว้นมหาอำนาจในยุคพุทธกาล
ตอนที่พระพุทธองค์ทรงเริ่มเผยแผ่พุทธศาสนา
มีสำนักเล็ก สำนักใหญ่ มากจนนับไม่ถ้วน ชาวกาลามะ เจอมามาก ฟังมาก็มาก
ทุกสำนักล้วนแต่ประกาศว่า คำสอนของตัวเองดีกว่า เมื่อได้เจอพระพุทธเจ้า ก็ตั้งคำถาม
จะให้เชื่อคำสอนของสำนักไหน?
“ดูก่อน ชาวกาลามะ” พระพุทธองค์ตรัส
“มีหลักการพิจารณาความเชื่ออยู่ 10 ประการ”
1. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
2. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
3. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดเอาตามแนวเหตุผล
8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูอาจารย์ของตน
คำสอนแบบนี้
ชาวกาลามะไม่เคยฟังจากศาสดาสำนักไหนมาก่อน แต่ฟังแล้วก็งง
...ตำราก็เชื่อไม่ได้ ทฤษฎีก็เชื่อไม่ได้ กระทั่งครูบาอาจารย์ที่เคยพร่ำสอนกันมาหนักหนา ให้ตั้งใจเล่าเรียนเขียนอ่านก็ยังไม่ให้เชื่อ.....
ให้หลักแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสต่อว่า
ทุกคำสอน เชื่อแบบงมงายไม่ได้ ต้องใช้ปัญญาพิจารณา ให้เห็นจริง ถึงคุณโทษ
จนแน่ใจว่าดีหรือไม่ดี จึงค่อยปักใจเชื่อ
คัมภีร์พุทธศาสนา บันทึกว่า ชาวกาลามะ
ฟังเทศนากัณฑ์นี้แล้ว ก็เห็นเป็นอัศจรรย์ ก้มกราบนับถือพระพุทธเจ้า
พวกเขาเชื่อทันที นี่คือพระศาสดาองค์จริง พระอรหันต์องค์จริง
สรุปแล้ว หากมีข่าวว่า
พระรูปนั้น พระรูปนี้ ทำผิด สอนผิด อย่าเพิ่งไปผสมโรง ว่าร้าย
เพราะในส่วนของพระอาจารย์และสาธุชนวัดพระธรรมกายนั้น
หลายท่านก็ออกมาบอกว่า เดิมก็เคยเข้าใจผิดวัดและหลวงพ่อมาก่อน เหมือนหลายๆท่านที่เข้าใจผิดในตอนนี้
ถึงกับวิเคราะห์กันว่า อีกหน่อยที่วัดต้องเตรียมตั้งฝ่ายรับขอขมาไว้
สำหรับผู้เคยว่าร้ายพระ โดยมีแผนกต่างๆ
1.
ดอกไม้ ธูป เทียนแพ
2.
พระอาจารย์ นำสมาธิ
3.
พระอาจารย์เทศน์สอนเรื่อง "ต้องมีสติ รู้จักใช้ปัญญาพิจารณาเรื่องราวต่างๆ อย่าเพิ่งเชื่อสื่อ
ให้มาพิสูจน์ด้วยตนเอง"
เหมือน
หลายท่านที่เคยเข้าใจผิดมาก่อน เดชะบุญ มีโอกาสมาวัด จึงค่อยๆ เข้าใจ
4.
กล่าวคำขอขมา ต่อหน้าพระรัตนตรัย
5.
พาชมวัด และสวดมนต์บทธัมมจักกัปวัตนสูตรร่วมกัน
ที่มา:
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น