ว้าวเลย! วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จากโลกตะวันตก พิสูจน์พลังที่สืบทอดจากยุคโบราณอย่างการสวดมนต์ ประโยชน์เพียบเลยจ้า
นอกจากช่วยเรื่องสุขภาพกายใจแล้ว การสวดมนต์ยังช่วยให้สมองซีกซ้ายและซีกขวา"ซิ้งค์"
กันได้ดี โดยสมองส่วนต่างๆ จะทำงานเข้าขากัน
หรือมีจังหวะตรงกันพอดี ซึ่งทำให้คิดอ่าน-เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ
เข้าด้วยกันได้อย่างยอดเยี่ยม
แบบนี้ต้องชวนญาติสนิทมิตรสหาย ลูก หลาน ว่านเครือ สวดมนต์กันให้ได้ทุกวันเลย
การสวดมนต์เป็นมรดกล้ำค่าจากยุคโบราณที่ส่งต่อมาถึงคนรุ่นปัจจุบัน
โดยคุณค่าไม่ได้สูญหายไปตามกาลเวลา
แต่กลับเป็นศาสตร์อันลึกซึ้ง ที่พิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หลายสาขา
การเชื่อมโยงเรื่องราวทางจิตวิญญาณให้เข้ากับวิทยาศาสตร์ดูจะเป็นเทรนด์ของโลกวันนี้
ผู้คนสมัยนี้เรียกร้องให้มีการพิสูจน์ก่อนที่จะเชื่อถือเรื่องต่างๆหรือการปฏิบัติใดๆ
การสวดมนตร์ นั้นเป็นของโบราณและเกิดขึ้นมายาวนานก่อนที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะบังเกิดขึ้นมาและสนับสนุนเรื่องนี้
มีการใช้การสวดมนต์เพื่อรักษาโรคและจุดพลังตัวตนเราให้สูงค่าดีงามขึ้น
ปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์สามารถทำให้เราเชื่อมโยงกับสิ่งโบราณแต่ทันสมัยสิ่งนี้ได้แล้ว
ไม่ว่าจะสวดมนต์อย่างถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
รู้ความหมายหรือไม่รู้ความหมาย ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ การสวดมนต์ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อสุขภาวะทั้งร่างกายและจิตใจ
แบบนี้เด็กๆก็สวดมนต์ได้น่ะสิคะ เพราะแม้เด็กๆอาจจะสวดมนต์ถูกบ้าง
ไม่ถูกบ้าง รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง
ดังนั้นเป็นเรื่องที่ดี
ที่จะสนับสนุนให้เด็กฝึกสวดมนต์ตั้งแต่เด็ก เพราะเกิดประโยชน์ด้านสุขภาวะกายใจของเด็ก
ตามแบบแผนดั้งเดิมนั้น การสวดมนต์ในศาสนาฮินดู พุทธ คริสต์ อิสลาม
และฮีบบรู มักใช้เป็นวิธี ปลุกคุณสมบัติด้านสว่างในตัวคุณ หรือใช้รักษาผู้คน แต่ ทุกวันนี้มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับการสวดมนต์มากขึ้น
นั่นคือสวดมนต์เพื่อรักษาสุขภาพและความสุข
ดร.รานจิ สิงห์ นักประสาทวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักธุรกิจ
และนักการศึกษาโลก พบว่า
การสวดมนต์เจาะจงบทใดบทหนึ่งซ้ำๆ
จะทำให้ร่างกายปล่อยฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเกิดประโยชน์มากมายเช่น
ลดขนาดเนื้องอก
และช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
มีการค้นพบด้วยว่า การสวดมนต์นั้นเพิ่มออกซิเจนให้สมอง
ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้ความดันเลือดดีขึ้น และทำให้คลื่นสมองสงบ
และการสวดมนต์ยังสามารถทำให้สมองซีกซ้ายและซีกขวา"ซิ้งค์"
กันได้ดี คือ สมองส่วนต่างๆ ทำงานเข้าขากัน หรือมีจังหวะตรงกันพอดี ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการคิดอ่าน-เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ
เข้าด้วยกันเป็นไปด้วยดี
โกลด์แมนกล่าวว่า ดร. อัลเฟรด โตมาติส ใช้เสียงสวดมนต์ของนักบวชเกรกอเรียนกระตุ้นระบบประสาท
สมอง และหู ของผู้เข้ามาบำบัด งานของเขาสำคัญมากต่อประโยชน์ของเสียงและการสวดมนต์ในทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์
เขาพบด้วยว่า เสียงที่จำเพาะ
มีความถี่เสียงที่สูงเป็นพิเศษจะกระตุ้นและสร้างพลังให้สมองส่วนคอร์เทกซ์และระบบประสาท
และเขารู้ว่า เสียงสวดมนต์แบบอื่นจากประเพณีอื่นก็มีผลเช่นเดียวกัน นอกจากมีการศึกษาปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ในเรื่องการสวดมนต์ยังมีมีการศึกษาในศาสตร์อื่นอีกเหมือนกัน
ตอนท้ายสุด อเล็กซา ปิดท้ายว่า
เมื่อเรารู้สึกไม่สบายทางร่างกายและจิตใจ แล้วแสวงหาการรักษา แม้ภาพของโลกที่การสวดมนต์กลายเป็นคำแนะนำอันดับต้นๆที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ
อาจจะดูเป็นงานที่ยาก แต่ผู้คนทุกวันนี้ก็ตระหนักขึ้นเรื่อยๆ ว่าเราสามารถสวดมนต์เพื่อสุขภาพและความสุข
ให้เราหวังกันเถอะว่า เราจะทำให้พลังของการสวดมนต์อยู่ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น
และเกิดขึ้นให้เร็วที่สุด
ตอบลบปรัชญาแห่งพุทธ บรรจบกับนวัตกรรมเทคโนโลยีInnotech
สนองสภาวะจิตของมนุษย์ในปัจจุบันอย่างลงตัว