วิธีคุยธรรมะ!!!


ธรรมะนั้นมีทั้งโลกียธรรม และโลกุตตรธรรม 

โลกียธรรมคือธรรมที่พูดถึงการดำรงอยู่ภายใต้สังสารวัฏ  เป็นธรรมที่อยู่ในวิสัยของโลก 
เช่น ความเมตตา การทำทาน ความขยันหมั่นเพียร การดูแลรับผิดชอบหน้าที่ครอบครัว
และแง่มุมที่เป็นไปเพื่อความผาสุกของชีวิตนี้และชีวิตหน้า
ส่วนโลกุตตรธรรมหมายถึง ธรรมที่พ้นไปจากการมีตัวตน เป็นธรรมเหนือโลกซึ่งผู้ปฏิบัติต้องโลกทวนกระแสโลก เดินสวนทางกับความรู้สึกของตน
เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความรู้สึกของผู้คนโดยส่วนมาก แต่อยู่ภายใต้กรอบของธรรมชาติความจริงแท้



ทุกวันนี้เราจะเห็นได้ว่า เมื่อมีการพูดคุยธรรมะนั้น บางครั้ง
เราก็จับโลกียธรรม และโลกุตตรธรรมมาปนกับ
ทำให้องค์ธรรมนั้นเกิดความขัดแย้งในตัวเอง
เช่น ถ้ามีคนพูดว่า เราควรพัฒนาตนเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป นี่คือการพูดแบบโลกียธรรม 
ส่วนถ้าเราพูดว่า
มนุษย์ทุกคนต้องทำลายความเป็นอัตตาตัวตนให้ราบคาบ
ถ้าพูดอย่างนี้ เป็นการพูดในวิสัยของโลกุตตรธรรม คือพูดแบบทวนกระแสโลก 


หรือบางครั้งคนหนึ่งพูดว่า
เราต้องรู้จักรักดูแลครอบครัวของเราให้ดี
นี่คือการพูดแบบโลกียธรรม 

ส่วนถ้าพูดแบบโลกุตตรธรรมก็ต้องพูดว่า
จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป
ไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรา ไม่มีครอบครัวเรา
แล้วเราจะต้องไปรักไปดูแลอะไร
อันนี้ก็เป็นการพูดแบบทวนกระแสโลก
เป็นความจริงเหมือนกัน แต่เป็นความจริงขั้นสูงสุด

เห็นได้ว่า ธรรมะทั้งสองแบบมีสิ่งที่ต่างกันชัดๆ
ก็คือ อันหนึ่งตามกระแสโลก คือฟังแล้วเข้าใจได้ทันที 
เนื่องจากเป็นสามัญสำนึกขั้นพื้นฐานของคนส่วนใหญ่  เป็นความดีในอุดมคติ เป็นธรรมที่สอนให้คนเป็นคนดี  มีเรื่องทำดีได้ดี มีเรื่องนรกสวรรค์
เป็นธรรมที่ทำให้มีความสุข
ในขณะที่ยังอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิด 

นี่คือสิ่งที่เป็นแก่นสารของโลกียธรรม
ซึ่งง่ายต่อการทำความเข้าใจ
เพราะใครๆ ก็คิดเช่นนี้

ส่วนอีกอันจะเป็นธรรมที่ทวนกระแสโลก
เป็นธรรมเพื่อข้ามโลก
ใครฟังก็ต้องค้านกับความรู้สึก
เช่นไปพูดว่า ความรักไม่ดี มันก็ค้านความรู้สึก
เพราะมุมมองของคนทั่วไป ความรักคือสิ่งที่ดี
ไปพูดว่าชีวิตคือทุกข์
มันก็ค้านในความรู้สึกว่าชีวิตจะเป็นทุกข์ได้อย่างไร
ตรงนี้เห็นได้ว่า
ธรรมะแบบโลกุตตรธรรมนั้น เป็นเรื่องทวนกระแส
เป็นธรรมที่ฟังแล้ว
ขัดกันสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องการสืบพันธุ์
มีครอบครัว มีความสุข
นี่คือความแตกต่างของธรรมทั้งสองชนิดนี้


ธรรมะทั้งสองมิตินี้ หากผู้สนทนา 
หรือผู้ฟังนำมาปนกันก็จะเกิดการการทุ่มเถียงกันในแง่ของตน 
การเถียงกันในรูปแบบนี้ เหมือนคุยธรรมะคนละเรื่องเดียวกัน 
คือคุยเรื่องเดียวกัน แต่คุยคนละมิติ 
ดูผิวเผินจึงเหมือนคุยเรื่องเดียวกันอยู่ 
แต่ที่จริงเป็นการคุยคนละเรื่อง 
มีผู้คนจำนวนมากที่ชอบถกเถียงกันเพราะไม่เข้าใจว่า 
ขณะนี้กำลังคุยในแง่ไหน โลกียธรรม หรือโลตุตตระธรรม 
เป็นเหตุให้เข้าใจธรรมะผิดพลาดไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
รู้สึกว่าทำไมธรรมะขัดแย้งกันเอง 
ที่จริงตัวธรรมะไม่ได้ขัดแย้งกันเองเลย 
หากเราพูดในมิติเดียวกัน 
ตรงกันข้าม 
ถ้ามีความเข้าใจทั้งสององค์ธรรมนี้อย่าลึกซึ้งก็จะยิ่งพบว่า 
ทั้งสององค์ธรรมมีความเกี่ยวโยงถึงกัน 
ปฏิบัติโลกียธรรมถึงจุดหนึ่งโลกุตตรธรรมก็จะเกิดมาเอง 
เมื่อเกิดโลกกุตรธรรมขึ้นในใจแล้ว โลกกียธรรมก็จะแตกฉานขึ้น 

ทั้งสองส่วนนี้จะตีสลับกันไปมา ชีวิตก็ดีขึ้นเป็นลำดับ
เห็นได้ว่า สุดท้ายแล้ว
ทั้งโลกียธรรม และโลกุตตรธรรมก็จะรวมเข้ามาเป็นอันเดียว 

แต่ก่อนที่จะเดินทางไปถึงจุดนั้น
ผู้ศึกษาธรรมต้องเข้าใจในแง่นิยามก่อนว่า
อันหนึ่งเป็นวิธีป้องกันทุกข์ตราบใดที่ยังเล่นเกมส์อยู่ในสังสารวัฏ 
ส่วนอีกอันก็เป็นวิธีหยุดเล่มเกมส์ 


ซึ่งพระพุทธเจ้าเองท่านก็สอนทั้งสองส่วน
และให้ความสำคัญทั้งสองส่วน
ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากันเลย
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสร้างสรรค์ และปัญญาอย่างถึงที่สุด 
เวลาที่เราจะพูดคุยธรรมะ ฟังธรรมะ อ่านธรรมะ 
หรือให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับธรรมะ 
เราต้องมองให้รู้ซึ้งก่อนว่า 
ผู้ส่งสารกำลังหยิบยื่นธรรมะแบบใดให้เรา 
และเรากำลังจะสื่อสารธรรมะแบบใดกลับไป 
การปรับมุมมองให้ตรงกันจะทำให้ผู้ส่งสารและรับสารไม่หลงประเด็น 
เป็นการคุยในเรื่องเดียวกัน 
เป็นการป้องกันความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น 
ทำให้ไม่ต้องมาถกเถียงกันในเรื่องที่ไม่จำเป็น 
การแลกเปลี่ยน พูดคุยธรรมะก็จะเป็นไปด้วยความสนุก เบิกบาน 
ได้พัฒนาตนไปสู่ความเจริญทั้งแง่มุมของโลกียธรรม และโลกุตตรธรรมไปพร้อมๆกัน...






ที่มา: เพจ พศิน อินทรวงค์
https://www.facebook.com/talktopasin2013/posts/758872324291379

ความคิดเห็น

  1. คนส่วนใหญ่มักเอาความคิดทางโลกมาตัดสินความคิดทางธรรม

    ตอบลบ
  2. ขอขอบคุณสำหรับความสำหรับบทความดีๆแบบนี้ครับ

    ตอบลบ
  3. ขอบพระคุณที่ให้ความรู้ ความเข้าใจค่ะ

    ตอบลบ
  4. หลักวิชชาพระพุทธศาสนา มีเหตุมีผล และมีผลเป็นสากล ทำดี ไปสวรรค์ที่เดียวกัน ทำชั่ว ไปนรกที่เดียวกัน ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาไหน เหมือนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์มีดวงเดียว ทั่วโลกใช้ร่วมกันเอย.

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อัมพชาดก: มนต์เสื่อมเพราะลบหลู่ครูอาจารย์

คนที่ชอบด่าว่าหรือใส่ร้ายผู้อื่น กรรมจะมาเร็วมาก เป็นกรรมทางวาจา มีผลร้ายแรงมาก

ใจสบายไปทั่วโลก กับบทแผ่เมตตาภาษาอังกฤษ