อเมริกานำการฝึกอบรมจิตตามหลักพุทธศาสนามาช่วยลดภาวะหมดไฟ(Burnout) ของแพทย์
ภาวะหมดไฟ หรือ เหนื่อยหน่าย หรือ เบิร์นเอ๊าท์(Burnout) คือ ความรู้สึกอ่อนล้าทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ
และอารมณ์ อันเกิดจากการที่ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดเป็นเวลานานๆ
เช่น รู้สึกเบื่อกับงานถึงขั้นทำไปวันๆ
แบบซังกะตาย ไม่อยากพูดจากับใคร หงุดหงิดใส่ทุกคนรอบตัว เจ็บป่วยบ่อยๆ ไม่มีสาเหตุ
ไม่อยากไปทำงาน อยากจะเดินออกไปจากที่ทำงานและไม่ต้องกลับมาอีก เป็นต้น
เพียงสามปีหลังจากจบการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน ในปีพ.
ศ. 2554 ศัลยแพทย์คาร์ล่า ฮ้าค พบว่าตัวเองตกอยู่ในภาวะเหนื่อยหน่าย(Burnout) เธออุทิศชีวิตของเธอให้กับโรงพยาบาล โดยทำงาน 14ชั่วโมงต่อวันโดยรวมวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วย
ครั้งละหลายๆเดือน บ่อยครั้งที่ไม่ได้กินข้าวจนกว่าจะสิ้นสุดวันทำงานอันยาวนาน
คุณหมอฮ้าค เป็นศัลยแพทย์ทั่วไปและฉุกเฉินที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเอมเมอรี่เล่าว่า
"ความหมายของเบิร์นเอ๊าท์ในพจนานุกรมเป็นอย่างไร
นั่นแหล่ะคือตัวฉัน ฉันรู้สึกเป็นทุกข์และงานกลายเป็นสิ่งที่ไม่มั่นคงสำหรับฉัน
" เธอรู้สึกอ่อนเพลียไปหมดและมีลักษณะคล้ายภาวะซึมเศร้า
เนื่องจากเธอให้ทุกอย่างเพื่อดูแลผู้ป่วยของเธอ
เธอจึงไม่มีอะไรเหลือสำหรับตัวเอง คุณหมอฮ้าคคิดแม้แต่จะลาออกจากการเป็นหมอ
การทำงานในชั่วโมงอันยาวนาน ความต้องการหมอในการรักษาผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้น และความกังวลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสุขภาพของผู้ป่วยนำไปสู่ภาวะเบิร์นเอ๊าท์ของคุณหมอฮ้าค
คุณหมอฮ้าคได้แสดงให้เห็นถึงจำนวนแพทย์ที่ประสบปัญหาความเหนื่อยหน่ายในการทำงาน
โดยดูจาก มีความอ่อนล้าทางอารมณ์ มีความรู้สึกถากถางเพื่อนร่วมงานและผู้ป่วยตลอดจนมองตัวเองในแง่ลบ
การสำรวจในปี พ.ศ. 2554 โดยมาโยคลินิคพบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกามีอาการเหนื่อยหน่ายอย่างน้อยหนึ่งอาการและเป็นปรากฏการณ์ที่พบมากในหมู่แพทย์มากกว่าวิชาชีพอื่น
ๆ อาการเหนื่อยล้าชนิดหนึ่งเรียกว่า "ความเหนื่อยล้าที่จะเห็นอกเห็นใจ" มักส่งผลต่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านการดูแลสุขภาพและอาจทำให้เกิดการไม่เอาใจใส่ผู้ป่วย
ตลอดจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึกได้
ภาวะเช่นนี้อาจส่งผลอันตรายต่อผู้ป่วย จากการศึกษาพบว่าระดับความเหนื่อยหน่ายของแพทย์ที่สูงขึ้นสอดคล้องกับความผิดพลาดทางการรักษาที่มากขึ้น
ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับสามของการเสียชีวิตในประเทศสหรัฐอเมริกา
เพื่อต่อสู้กับความเหนื่อยหน่ายของแพทย์ บางโรงเรียนแพทย์ได้เปิดโปรแกรมสอน
"จรณทักษะ หรือ soft
skills" เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยในสภาพแวดล้อมที่เครียดในปัจจุบันได้ดีขึ้น
การเรียนรู้ความเห็นอกเห็นใจ การเอาใจใส่และมีความยืดหยุ่นเป็นความท้าทายด้านการบริการมนุษย์
ช่วยให้หลาย ๆ คนได้ค้นพบความหมายของการรักษาผู้ป่วยและเหตุผลที่พวกเขามาเป็นแพทย์รักษาผู้ป่วย
ตั้งแต่ปี พศ.2557
โรงพยาบาลเอมเมอรี่ได้เปิดอบรมหลักสูตรการฝึกความเห็นอกเห็นใจโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายสำหรับเจ้าหน้าที่คณาจารย์และนักศึกษาที่โรงเรียนแพทย์
แต่ละหลักสูตรมีระยะเวลา 10 สัปดาห์ พบปะกันสัปดาห์ละครั้งและมีการออกกำลังกายที่บ้านด้วย
มีผู้ลงทะเบียนเรียนเพิ่มขึ้นเป็นประจำทุกปีโดยมีคณาจารย์ / บุคลากรทั้งสิ้น 171
คนและนักศึกษาแพทย์อีก 239 คนที่เรียนจบหลักสูตร
โดยนำธรรมเนียมการฝึกอบรมจิตทางพุทธศาสนาในทิเบตมาใช้
และมีการปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตทางโลก ซึ่งมุ่งเน้นให้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและมีความเป็นอยู่ที่ดี
หลักสูตรเริ่มต้นด้วยการฝึกสมาธิและแผ่เมตตา โดยนั่งสมาธิและแผ่เมตตาให้ตนเองก่อนจากนั้นก็แผ่ขยายความรู้สึกเหล่านี้ต่อคนที่รัก ต่อคนแปลกหน้าและต่อคนที่มีนิสัยยากๆ โดยมีเสียงนำนั่งสมาธิและนำแผ่เมตตา
จากการศึกษานี้พบว่า ผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรม มีระดับความเห็นอกเห็นใจเพิ่มขึ้น
รวมทั้งมีความเหงาและภาวะซึมเศร้าลดลง ส่วนผู้ที่ไม่ได้เข้ารับการฝึกอบรมมีผลตรงข้าม
"นักศึกษาแพทย์เป็นประชากรที่มีเอกลักษณ์จริงๆ
พวกเขาทนทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้า ความคิดฆ่าตัวตาย และภาวะเหนื่อยหน่าย ในอัตราที่สูงอย่างเหลือเชื่อ
" เจนนิเฟอร์ มาสคาโร่ นักมานุษยวิทยาทางชีววิทยาที่เอมเมอรี่กล่าว "ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาดูเหมือนยังเป็นทุกข์
กับการขาดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจในระหว่างการฝึกอบรม
มันยากที่จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เมื่อลำพังตัวคุณก็พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากความทุกข์อยู่
"
โปรแกรมแปดสัปดาห์ที่โรงเรียนแพทย์สแตนฟอร์ด เรียกว่า
การฝึกอบรมเพื่อปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจ หรือCCT (Compassion
Cultivation Training) เป็นการผสมผสานระหว่างการทำสมาธิแบบดั้งเดิมกับจิตวิทยาร่วมสมัยและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
การฝึกอบรมนี้เกี่ยวข้องกับการทำสมาธิประจำวัน การฝึกปฏิบัติด้านการหายใจรวมทั้งการเรียนการสอนและการอภิปรายสองชั่วโมงต่อสัปดาห์
แม้ว่าการฝึกอบรมนี้ จะเปิดให้แก่สมาชิกของโรงเรียนแพทย์และสาธารณชน
แต่ก็ต้องเสียค่าลงทะเบียนเป็นจำนวน 395 เหรียญสหรัฐ หรือราว 13,000
บาท
เจมส์ โดธี่ ศัลยแพทย์ระบบประสาทที่สแตนฟอร์ดและผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและวิจัยความเห็นอกเห็นใจและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ร่วมกับเพื่อนร่วมงานของเขาได้ศึกษาแง่มุมของ CCT ไม่เพียงแต่สำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ
แต่สำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรังและโรคเครียดหลังเหตุการณ์ร้ายแรงอีกด้วย
การทดลองแบบสุ่มควบคุมของ CCT พบว่าผู้ใหญ่ที่เข้ารับการรักษามีพัฒนาการที่สำคัญในเรื่องความเห็นอกเห็นใจทั้งสามด้าน
คือ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การรับความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่นและความเมตตาต่อตัวเองเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
โปรแกรมฝึกอบรมที่คล้ายกันยังมีที่โรงพยาบาลแมสซาชูเสทเจนเนอรัลสำหรับนักศึกษาแพทย์และคณาจารย์
โรงเรียนพยาบาลที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียและโรงเรียนแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ โรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลต่างๆมีการลงทุนมากขึ้นในการส่งเสริมการฝึกอบรมความเห็นอกเห็นใจและเอาใจใส่ด้วยความหวังที่จะต่อสู้กับความเหนื่อยหน่ายในผู้ให้บริการ
การที่ผู้ป่วยรับรู้ถึงความเอาใจใส่ของแพทย์ช่วยเพิ่มความพึงพอใจและการปฏิบัติตามของผู้ป่วย
ในขณะที่ความเหนื่อยหน่ายของแพทย์เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในเรื่องความผิดพลาดทางการแพทย์และการรักษาที่ผิดพลาด
ที่มา:
http://www.healthtoday.net/thailand/mental/mental_136.html
https://wellmd.stanford.edu/sign-up/compassion.html
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น