ยกย่อง “วอร์เรน บัฟเฟต์” ประสบความสำเร็จอย่างมั่นคง เพราะดำเนินชีวิตตามหลักพุทธศาสนา มีใจที่นิ่งสงบ ไม่แกว่งตามการขึ้นลงของตลาด
พุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สอนเรื่องเหตุและผล มีหลักคำสอนที่เป็นความดีและสร้างความสุขความสำเร็จอย่างเป็นสากล
ผู้ใดปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธหรือไม่ใช่ชาวพุทธ
จะประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม มีทั้งความมั่งคั่งและความสุข
มหาเศรษฐีอันดับสี่ของโลกและอันดับสองของอเมริกาวัย86ปี ท่านนี้บริจาคเงินจำนวนมากให้กับองค์กรเพื่อการกุศล ติดต่อกันทุกปีเป็นเวลา 12 ปีแล้ว ในปี2560นี้
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ยังสร้างสถิติใหม่ ด้วยการบริจาคเงินสูงถึง 3.2
พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.1 แสนล้านบาท ภายในวันเดียว
เขาไม่ต้องการให้ลูกได้รับการเลี้ยงดูอย่างลูกมหาเศรษฐีที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ
ในการทำไร่ข้าวโพดลูกของเขาต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินให้เขา เขาให้เงินลูกสามคนเท่ากันคนละ 1,000 ล้านดอลลาร์
หรือ 31,000 ล้านบาท
แต่มีข้อแม้ว่าต้องใช้เงินจำนวนนี้เพื่อการกุศล!!!
ลูกทั้งสามคนของวอร์เรน บัฟเฟต์ กลายเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญของโลกทันที เมื่อพ่อของพวกเขาให้เงินทุกคนจำนวนมาก และให้ใช้เพื่อการกุศลเท่านั้น
|
ไบรอัน ฟอลชุค ผู้บริหารการเงินและนักเขียนชาวอเมริกา ยกย่อง“วอร์เรน
บัฟเฟต์” ว่าดำเนินชีวิตตรงตามหลักพระพุทธศาสนา จึงประสบความสำเร็จด้านธุรกิจอย่างมั่นคง
โดยเริ่มจากเรื่องของจิตใจ
โดยไบรอัน ฟอลชุค
ซึ่งเป็นไลฟ์โค้ชและผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย ได้เขียนลงในเว็บไซต์ www.inc.com โดยกล่าวถึงพุทธศาสนาว่า พุทธศาสนาสอนให้ปล่อยวาง
ไม่ยึดติด กับพฤติกรรม ผู้คน สถานการณ์ สิ่งของ ไม่ว่าชีวิตจะเจอเรื่องดีหรือแย่ ให้ทำใจเป็นกลางๆ
ไม่หวั่นไหวกับสิ่งเหล่านั้น โดยชาวพุทธจะมีสติอยู่กับปัจจุบัน และใช้ชีวิตบนแนวคิดที่ว่า
ที่สุดของมนุษย์ทุกคนนั้นต้องการความสุขและเราควรสนับสนุนภารกิจนี้ของทุกชีวิต
ฟอลชุคระบุอีกว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์
ดำเนินชีวิตและทำธุรกิจแบบพิเศษมากๆ
สิ่งที่เขาปฏิบัติ ตรงตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา โดยบัฟเฟตต์
จะมีชื่อเสียงเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน ใช้ชีวิตเรียบง่าย
อาศัยในบ้านหลังเดิมซึ่งไม่ได้เปลี่ยนไปจากที่ซื้อครั้งแรกตั้งแต่ปี
1956 ขับรถราคาไม่แพงซึ่งคันหนึ่งก็ใช้หลายปี
ไม่ได้แต่งตัวเหมือนยาจกหรือใส่ชุดแพงๆตามแฟชั่น
เขามีชื่อเสียงเรื่องปรัชญาการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
โดยลงทุนและถือไว้เป็นระยะเวลานานๆ เป็นที่รู้กันว่าเขาเป็นคนใจดี
มีฉายาว่า “คุณปู่ใจดีแห่งอเมริกา” ขณะที่คนระดับเดียวกับเขามักเป็นคนมักโกรธ
อารมณ์ร้อน เขาไม่ได้สนใจที่จะตัดสินใจในเรื่องชีวิตและธุรกิจแบบคนคิดสั้นๆ
เขาคิดยาว มองไกล นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงสำเร็จ
ในการลงทุนและการทำธุรกิจของวอร์เรน บัฟเฟต์
มีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว แต่เขาไม่ปล่อยให้ความล้มเหลวนั้นหยุดยั้งเขาที่จะก้าวต่อไป
ความสามารถของเขาที่เป็นตัวของตัวเองเสมอ
มีเหตุผล เข้าใจชีวิตอย่างดี และมีสติอยู่กับปัจจุบันโดยไม่ยึดติดกับอดีตหรือปรารถนาอะไรในอนาคต
เป็นหัวใจของความสำเร็จของเขา ซึ่งทำให้เขานั่งอยู่ริมทางในช่วง
ปี1990
ขณะที่นักลงทุนคนอื่นทุ่มเงินลงทุนกับสตาร์ทอัพ พวกดอทคอม และเรียกเขาว่า
เป็นนักลงทุนที่หมดยุคแล้วเพราะเขาไม่ได้กระโดดไปร่วมวงธุรกิจเทคโนโลยีในตอนนั้น เราทั้งหมดก็รู้ว่า ผลเป็นอย่างไร เขายังคงจริงกับปรัชญาที่มีเหตุผล
เข้าใจชีวิต สงบ และ ประหยัด
ในขณะที่คนอื่นดูสัญญาณเงินดอลล่าห์และทิ้งกลยุทธ์ที่ไม่ใช่วัตถุนิยม
อาจมีคนบอกว่า
จริงๆแล้วเขาตัดสินใจเรื่องการลงทุนได้อย่างชาญฉลาดและมีเซนส์ในการแสวงหาการจัดการทางธุรกิจที่ดีที่สุด เรื่องนี้ก็จริง แต่ที่เหนือกว่านั้นคือ
เขายังนิ่ง มั่นคง สงบ และมีสมาธิ โดยไม่มีความตื่นเต้นหรือแสดงอารมณ์ซึ่งทำให้นักลงทุนรอบข้างหวั่นไหว ไม่ได้หมายความว่า เขาก็แค่ชนะ แต่มันหมายถึง เขาเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง
เวลาที่ได้ฟังเขาพูด จะเห็นได้ชัดเจนว่า เขาเป็นบุคคลที่มีความสุขอย่างแท้จริง
และชัดเจนมากว่า เขาแสวงหาสิ่งนี้เพื่อผู้อื่นด้วย
การนำหลักการทางพระพุทธศาสนามาใช้กับธุรกิจไม่ได้ทำให้คุณมีความสุขเท่านั้นแต่ทำให้คุณประสบความสำเร็จในอาชีพด้วย
ที่มา:
http://www.noozup.news/216185/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น