เพียงหนึ่งศตวรรษ..."พุทธศาสนา" เปลี่ยนจาก"ลัทธิอันตราย"กลายเป็น "สิ่งสำคัญที่ชาวอเมริกันใช้รับมือกับชีวิต" ได้อย่างไร?
💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧
ดร. ไรอัน แอนนิงซั่น จบปริญญาเอกด้าน ความหลากหลายทางศาสนา
ได้เขียนบทความเรื่อง
“ Before Americans turned to Buddhism
for life hacks, they treated it like a dangerous cult” ซึ่งอิงกับดุษฎีนิพนธ์ปริญญาเอกของเขา
ปัจจุบัน ดร.ไรอัน เป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอก (post-doc) ของมหาวิทยาลัยวิลฟริด
ลอเรีย ประเทศแคนาดา
บทความนี้น่าสนใจ
เพราะให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการเผยแผ่พุทธศาสนาในอเมริกาตั้งแต่ร้อยกว่าปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันและมีข้อคิดดีๆ โดยมีใจความสำคัญดังนี้......
เมื่อ116 ปีที่แล้ว ในเดือนมกราคมปีค.ศ. 1902 มีสาธุคุณชาวอเมริกันท่านหนึ่ง
เตือนพลเมืองอเมริกันเกี่ยวกับศาสนาหนึ่งว่า “ ไม่ว่าทางทฤษฎีหรือปฏิบัติ
ศาสนานี้ดูถูกดูแคลนสตรีเพศ ปฏิบัติทารุณโหดร้ายต่อสัตว์ มีความร้ายกาจ
ไม่ละอายต่อการปฏิบัติที่เลวร้ายจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้”
เป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวยิ่งไปอีก เมื่อความเชื่อนี้แบบนี้กำลังรุกล้ำสหรัฐอเมริกาผ่านการอพยพของประชากรและการเปลี่ยนศาสนาของพลเมืองอเมริกัน
ในทำนองเดียวกัน หนังสือพิมพ์อเมริกันในช่วงยุคก้าวหน้า(Progressive Era) ก็ได้เตือนว่า"ศาสนาแห่งความหมองหม่นและความโศกเศร้า"
ได้แพร่กระจายโดย "เหล่านักบวชผู้เสเพล โหดร้ายจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
และค้าเนื้อหนังมังสามนุษย์"
“ความเชื่อเลวร้ายและนักบวชที่แย่มากในที่นี้สื่อถึงอะไร?”
คำตอบคือ
พุทธศาสนา
พุทธศาสนาที่ทุกวันนี้เป็นแบบแผนที่ประกาศกันในวัฒนธรรมสมัยนิยม(Pop Culture)ว่า เป็นหนทางสู่ทุกสิ่งตั้งแต่อาชีพการงานที่ดีขึ้นและสันติภาพโลก
มุมมองต่อพุทธศาสนาของชาวอเมริกันเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ได้อย่างไรในช่วงเวลาอันน้อยนิด?
⃝⃝⃝⃝⃝⃝⃝⃝⃝⃝⃝⃝
ความรู้สึกเหยียดเชื้อชาติเป็นที่มาของการมองพุทธศาสนาว่าโหดร้ายและมองโลกในแง่ร้าย
สาเหตุของการมองพุทธศาสนาว่า โหดร้าย
และมองโลกในแง่ร้าย คือ ความรู้สึกเหยียดเชื้อชาติ ช่วงนั้นบางครั้งเรียกพุทธศาสนาว่า
อันตรายสีเหลือง “Yellow
Peril” สิ่งตีพิมพ์ยุคนั้นทั้งหนังสือและหนังสือพิมพ์ต่างเตือนถึงการปะทะทางอารยธรรมระหว่างวัฒนธรรมป่าเถื่อนของชาวเอเชียกับวัฒนธรรมอารยะของชนผิวขาว
ทั้งชี้ว่าท้ายที่สุดแล้วชาวเอเชียจะลุกขึ้นทำลายดินแดนตะวันตก
อีกทั้งในตอนนั้น ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เผ่าพันธุ์
เช่น phrenology ที่เชื่อว่าสมอง
(และลักษณะกะโหลกศีรษะ) กำหนดให้จิตใจของมนุษย์เรามีความแตกต่างกัน ใช้เป็นเหตุผลสนับสนุนวาทกรรมเรื่องเผ่าพันธุ์
ทำให้นักการเมืองอเมริกันได้ออกกฎหมายกีดกันชาวเอเชียและผู้อพยพจากยุโรปบางแห่ง
ในสหรัฐอเมริกา นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายคนเช่น
G. Stanley Hall กล่าวว่าสามารถจัดลำดับชั้นเผ่าพันธุ์ด้วยวิทยาศาสตร์โดยมีเผ่าพันธุ์ที่
"ดีกว่า" และ "ด้อยกว่า" ความเชื่อทางวิทยาศาสตร์แบบนี้ทำให้ชาวอเมริกันรู้สึกกลัวบุคคลภายนอกและชี้ให้เห็นว่าในทางชีววิทยาชาวเอเชียเป็นคนป่าเถื่อนและมีความเป็นสัตว์
ศาสนาของชาวเอเชียก็ขาดคุณธรรมและเกิดกลุ่มคนที่ถูกล้างสมอง
ทั้งหมดนี้ทำให้ชาวอเมริกันสร้างลักษณะเฉพาะของพุทธศาสนาซึ่งเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ที่ด้อยกว่าและมีฐานะทางวิทยาศาสตร์ต่ำกว่า
ว่า เป็นศาสนาที่มีความรุนแรงและน่ากลัว
ชาวพุทธใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์เผ่าพันธุ์อย่างไรเพื่อปรับระดับให้เข้ากับชาวอเมริกัน?
เมื่อชาวพุทธผู้เข้มแข็งได้ย้ายไปอยู่ที่ใดก็มีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่เสมอ
ในปลายศตวรรษที่
18 พุทธศาสนาเป็นเรื่องของแฟชั่นทางวัฒนธรรมในอเมริกา โดยมีข่าวจากนิตยสาร
กลุ่มทางสังคมและวารสารการท่องเที่ยวพูดถึง พุทธศาสนา วัฒนธรรมและศิลปะ แต่คำสอนของพุทธศาสนาไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมศาสนาอเมริกัน โดยถูกมองว่าเป็นแนวคิดที่มองโลกในแง่ร้าย
ผู้นำทางพุทธศาสนาก็มองหาวิธีการปรับตัวในการนำเสนอและสร้างแนวทางเพื่ออธิบายพุทธศาสนาให้สอดคล้องกับความอ่อนไหวของชาวอเมริกัน
ซึ่งค่อยๆขจัดความคิดลบเกี่ยวกับพุทธศาสนาในอดีตไปได้
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 20
พุทธศาสนาได้เข้าสู่การปฏิวัติสิ่งพิมพ์ มีการตีพิมพ์นิตยสารภาษาอังกฤษ วารสารและแผ่นพับจำนวนมากเพื่อช่วยเผยแพร่พุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
ก่อนหน้านี้ ผู้เขียนชาวตะวันตกมักวิพากษ์วิจารณ์พุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าหรือไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า
ซึ่งศาสนาที่ปราศจากพระเจ้าไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม
ดังนั้นสิ่งพิมพ์ทางพุทธศาสนาในช่วงนั้นจึงระบุว่าพุทธศาสนามีพระเจ้า แต่เป็นพระเจ้าที่ได้รับความเข้าใจแตกต่างจากพระเจ้าของชาวคริสต์
พระเจ้าของชาวพุทธอยู่นอกเหนือความเป็นหนึ่ง การดำรงอยู่และการไม่ดำรงอยู่ซึ่งชี้แนะในทีว่า
"พระเจ้า" ของพุทธศาสนาดีกว่าพระเจ้าองค์เดียวของศาสนาคริสต์
เมื่อพุทธศาสนาเข้าสู่สหรัฐอเมริกา วิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยที่สุดตอนนั้นคือวิทยาศาสตร์เผ่าพันธุ์
นักคิดและนักเผยแผ่พุทธศาสนาหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยยืมภาษาทางวิทยาศาสตร์เผ่าพันธุ์เพื่อนำเสนอพุทธศาสนา
เหมือนกับวิธีที่ตะวันตกใช้คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เพื่อสื่อว่าเผ่าพันธุ์ตนเหนือกว่า
สิ่งตีพิมพ์ทางพุทธศาสนาใช้ภาษาวิทยาศาสตร์ด้านนี้เพื่ออธิบายจิตวิญญาณของชาวพุทธ
ถึงกับใช้งานเขียนของ
C.G Jung ผู้มีชื่อเสียงจากการเขียนเรื่อง
"Eastern Mind" กับ "Western Mind" เพื่อแย้งว่าพุทธศาสนามีความเหนือกว่า
Jung กล่าวว่าชาวเอเชียเด่นด้านจิตวิญญาณ
ขณะที่ชาวตะวันตกเด่นด้านตรรกะ และชาวพุทธได้เขียนว่าพวกเขาจำเป็นต้องสอนเรื่องจิตวิญญาณให้กับชาวอเมริกันผู้สูญเสียจิตวิญญาณไปสู่วัตถุนิยมที่ไม่เข้าท่า
ไม่ได้มีการนำเสนอพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาของวิทยาศาสตร์
แต่เป็นวิทยาศาสตร์ในตัวเอง
แนวคิดเรื่องจิตวิญญาณทางพุทธศาสนาก่อประโยชน์ใน
"โลกนี้"ได้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นรูปแบบหลักคำสอนทางพุทธศาสนาผนวกกับการส่งเสริมการเจริญสติว่าอยู่นอกเหนือเรื่องศาสนาและเชื่อมต่อกับวิทยาศาสตร์ได้
ทำให้อเมริกาในศตวรรษที่ 20 มีการเจริญสติเพิ่มสูงขึ้นจนมาถึงปัจจุบัน
แม้วันนี้การเปรียบเทียบพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องธรรมดา
นักประสาทวิทยา
นักจิตวิทยาและนักฟิสิกส์ก็ให้ความสำคัญกับหลักคำสอนและแนวปฏิบัติทางพุทธศาสนาเช่นการเจริญสติ
ในอดีตนักวิชาการตะวันตกเขียนเปรียบเทียบพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ได้ไกลถึงศตวรรษที่
19 ในขณะที่ชาวพุทธเองยกพุทธศาสนาว่าเป็นวิทยาศาสตร์ในงาน Chicago World's
Fair ตั้งแต่ปี1893
ช่วงยุควิคตอเรีย (ปี 1837-1901) เกิดทัศนะว่า พระพุทธเจ้าเป็นนักปฏิรูปจริยธรรมเมื่อเปรียบเทียบกับพระเยซู แม้มุมมองตะวันตกต่อชาวเอเชียและพุทธศาสนาจะกว้างขึ้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งเช่นเดียวกับในปัจจุบัน ศาสนาที่เป็น "วิทยาศาสตร์"มีประโยชน์ต่อวัฒนธรรมศาสนาอเมริกา
แต่ระหว่างปี 1900 ถึงปี 1940 วิทยาศาสตร์ในอเมริกากลายเป็นภาพที่รุนแรงและมีลำดับขั้นของความเหนือกว่าและด้อยกว่า
ในเครือข่ายอาณานิคมทั่วโลก ชาวเอเชียใช้ศาสนาของตนโปรโมทความเหนือกว่าในขณะที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ด้อยกว่า
ชาวเอเชียนำเสนอพุทธศาสนาว่าเหนือกว่าศาสนาและวัฒนธรรมตะวันตกและเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์
การเพิ่มขึ้นของการเจริญสติ
ตลอดศตวรรษที่ 20
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ความคิดทางศาสนาเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในวัฒนธรรมอเมริกัน
มีสิ่งที่เรียกกันว่า "ตลาดศาสนา" เกิดการเปิดเสรีวัฒนธรรมศาสนาในอเมริกัน
ในขณะเดียวกันพุทธศาสนิกชนได้ประชาสัมพันธ์เรื่องสมาธิไปทั่วตะวันตก
ที่มีชื่อเสียงที่สุดน่าจะเริ่มต้นจากพระภิกษุสงฆ์ชาวพม่า พระอาจารย์เลดี ซายาดอว์
(1846-1923) และฆราวาส ชื่อ สัตยา นารายัน
โกเอ็นก้า (1924-2013) พระอาจารย์เลดี ซายาดอว์ เห็นลัทธิล่าอาณานิคมที่เข้ามาของอังกฤษว่าเป็นหนทางในการส่งเสริมเทคนิคการทำสมาธิให้กับฆราวาส
แม้ว่าตามปกติแล้วพระสงฆ์ที่ฝึกระดับสูงจึงจะปฏิบัติแบบนี้กัน โดยกล่าวว่าประเทศชาติที่มีการเจริญสติสามารถเอาชนะอำนาจอาณานิคมได้
ต่อมาสัตยา นารายัน โกเอ็นก้า ได้ระดมทุนสร้างศูนย์ฝึกสมาธิมากกว่า 310 ศูนย์ใน 94
ประเทศ ซึ่งส่งเสริมรูปแบบการเจริญสติแก่บุคคลทั่วไปโดยกล่าวถึงพุทธศาสนาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ครูสอนทำสมาธิยุคใหม่มักนำเสนอการเจริญสติแบบไม่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า
เป็นเทคนิคทางวิทยาศาสตร์กึ่งจิตวิญญาณที่อยู่นอกเหนือช่วงประวัติศาสตร์หนึ่งหรือศาสนาใด
ๆ รูปแบบของพระพุทธศาสนาในหลาย ๆ ด้านทำให้การเจริญสติยุคใหม่มีความสมบูรณ์
การวางพุทธศาสนาในตลาดศาสนาอเมริกัน แยกกันระหว่างหลักคำสอนและการปฏิบัติ
ทำให้งานเขียนของชาวพุทธที่เผยแพร่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20สมบูรณ์ขึ้น
พุทธศาสนากลายเป็นกระบวนการเข้าถึงความจริงได้ด้วยตนเอง ดังนั้นพุทธศาสนาเป็นได้ทุกอย่างเพื่อทุกคนและมีการให้เหตุผลโดยเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปในการเจริญสติยุคใหม่ในปัจจุบัน
พุทธศาสนากลายเป็นกระบวนการเข้าถึงความจริงได้ด้วยตนเอง ดังนั้นพุทธศาสนาเป็นได้ทุกอย่างเพื่อทุกคนและมีการให้เหตุผลโดยเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปในการเจริญสติยุคใหม่ในปัจจุบัน
ไม่พบว่าพุทธศาสนาประสบความสำเร็จในอเมริกาเนื่องจากบุคคลเดียวหรือสถาบันเดียว ความจริงแล้วความสำเร็จของการเจริญสติในวัฒนธรรมอเมริกัน
บางครั้งจะมีการแยกการปฏิบัติออกจากตัวศาสนาเองและมุ่งวางสู่ตลาดโดยตรง
ครั้งหนึ่ง ชาวพุทธได้เผยแพร่พุทธศาสนาในลักษณะนี้เพื่อต้านลัทธิชาตินิยมและความเกลียดกลัวชาวต่างชาติของอเมริกา
พวกเขาใช้ภาษาของวิทยาศาสตร์เผ่าพันธุ์เพื่อนำเสนอพุทธศาสนาให้มีความเหนือกว่าและทำหลักคำสอนของพุทธศาสนาให้เป็นประสบการณ์เชิงรหัสยะ
คือเข้าถึงความจริงได้ด้วยตนเอง ซึ่งเข้ากันได้กับทัศนะของชาวอเมริกันส่งผลให้เกิดการแยกกันระหว่างการฝึกสมาธิและตัวศาสนา
การเจริญสติคือความเหมาะสมหรือไม่?
การเจริญสติที่กระจายตัวอยู่ในวัฒนธรรมอเมริกันในปัจจุบันถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดสรรทางวัฒนธรรมโดยนำพุทธศาสนาออกนอกบริบททางวัฒนธรรมและศาสนาของตน เช่นนำเสนอว่าการเจริญสติมีประโยชน์กับชีวิตทางโลก แยกออกจากการปฏิบัติธรรมของกลุ่มนักบวชที่ถือเพศพรหมจรรย์
วิธีการอันชาญฉลาด ซึ่งเรียกว่า อุปายะ หรือ
อุบายนี้ เป็นแนวคิดที่สำคัญในพุทธศาสนา หมายความว่าการปรับคำสอนในพุทธศาสนาให้เหมาะสมกับผู้รับสาร
ในสถานการณ์ที่กำหนด แต่การทำเช่นนี้ ต้องมีการนำผู้ศึกษาพุทธศาสนาไปสู่ความจริงสูงสุดของศาสนาให้ได้
แนวคิดเรื่องคำสอนที่เข้าถึงความจริงได้ด้วยตนเองและการตีความแนวปฏิบัติใหม่เขียนขึ้นแบบตรงกับธรรมเนียมของศาสนา
กล่าวอีกนัยหนึ่งแม้ว่าพุทธศาสนิกชนในช่วงต้นศตวรรษที่
20 และแม้แต่วันนี้อาจไม่คุ้นหรือแม้กระทั่งเห็นด้วยแบบจำยอมกับการปรากฎของการเจริญสติสมัยใหม่และความคิดทางพุทธศาสนาอื่น
ๆ แต่ก็แน่นอนว่าชาวพุทธเอเชียในอดีตมีบทบาทอย่างแข็งขันในการส่งเสริมพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตามควรตระหนักว่าการพัฒนาเหล่านี้เกิดขึ้นในพื้นที่และเวลาที่ถูกเหยียดหยามอย่างหนักและมีการต่อต้านชาวเอเชียและพุทธศาสนาอย่างมาก
ดร. ไรอัน สรุปว่า เขาเชื่อว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ประเภทนี้ช่วยให้เราหาคำตอบหรืออย่างน้อยมุมมองใหม่
ๆ ในประเด็นต่างๆที่เผชิญกันในทุกวันนี้ แทนที่จะหันหน้าไปสงสัย
"ภัยคุกคามที่เข้ามา" แม้กระทั่งการแยกตัวออกไปและการกักขังตัวเองไว้
เขาเชื่อว่าคนอเมริกันหรือแคนาดาสามารถมองประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอเมริกาเพื่อดูว่าจะรวมกลุ่มกับคนนอกได้อย่างไร
และปิดท้ายว่า ทุกวันนี้หากไปกล่าวว่า พุทธศาสนาเป็น
"ลัทธิอันตราย" จะเป็นเรื่องตลกในสหรัฐฯไปเลย แต่ศตวรรษที่ผ่านมา คำกล่าวนี้ถือเป็น
"ความรู้ทั่วไป" ดังนั้นเราสามารถใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่วยแก้ปัญหาในปัจจุบันเพราะเคยผ่านเรื่องเหล่านี้มาก่อนแล้ว การตามรอยประวัติศาสตร์พุทธศาสนาจาก
"เรื่องตลกที่โหดร้าย" ตามที่ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์เคยเรียก
มาเป็น"การเจริญสติยุคใหม่" ช่วยให้เราเข้าใจเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน
ในทัศนะของข้าพเจ้า เมื่อได้อ่านบทความนี้ นอกจากได้เรียนรู้ว่า
ปัญหาในทุกยุคสมัยเกิดจากกิเลสภายในใจมนุษย์ มีทิฐิมานะ ทำให้เกิดความหวาดระแวงกัน
ยังได้ซาบซึ้งกับคุณธรรมความอดทนและปัญญาของชาวเอเชียพุทธในอเมริกา ท้ายที่สุดแล้วยังได้เห็นสัจธรรมเรื่องความเปลี่ยนแปลงว่า
สิ่งดีๆที่คนในสังคมหนึ่งเคยไม่ชอบ เมื่อเวลาผ่านไป อาจกลายเป็นสิ่งที่ชอบได้ หากมีการสื่อสารให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้น
และหากใครกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ขอให้อดทนและใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาต่อไป... สักวันหนึ่ง ก็จะผ่านไปได้ เหมือนพุทธศาสนาในความรู้สึกของชาวอเมริกันก็เปลี่ยนจากลบเป็นบวก จากร้ายเป็นดี ได้ในที่สุด
ที่มา:
https://work.qz.com/1225207/buddhism-in-america-before-
mindfulness-was-popular-the-religion-was-considered-a-cult/
mindfulness-was-popular-the-religion-was-considered-a-cult/
Betting Sites In India 2021 - JT Hub
ตอบลบList of best Betting Sites In 안성 출장안마 India 2021 ➤ Compare ⭐ Indian Bookmakers ⚡ Full List of 삼척 출장마사지 ✓ 충주 출장샵 All The Best Betting Sites 통영 출장샵 In India. 인천광역 출장마사지