ยศถาบรรดาศักดิ์ปักสมมติ ผู้รู้รุดเร่งใช้สร้างกุศล ย่นย่อทางพระนิพพานให้กับตน ผู้ไม่รู้หลงกลใช้ก่อบาปกรรม



ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคน ล้วนมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน พ่อค้าทำการค้า ประกอบธุรกิจ ย่อมหวังผลกำไรเป็นเครื่องตอบแทน เพื่อยังความสุขให้เกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัว นักรบทำสงครามเพื่ออำนาจความยิ่งใหญ่ หรือเพียงเพื่อปกป้องมาตุภูมิของตน ให้อยู่รอดปลอดภัยจากเหล่าอริราชศัตรู แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเปลือกนอกที่ฉาบทาด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันทำให้บุคคลทั้งหลายลุ่มหลงมัวเมา และประมาทในชีวิต แต่สำหรับนักรบกองทัพธรรม การทำความเพียรประหารกิเลส ทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย กระทั่งเข้าถึงพระรัตนตรัย เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของมวลมนุษยชาติทุกคน



พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อจินติตสูตร ว่า

        "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ อย่างนี้ คือ พุทธวิสัย ฌานวิสัย วิบากแห่งกรรม และโลกจินดา คือ ความคิดในเรื่องโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ อย่างนี้แล บุคคลไม่ควรคิด ผู้ที่คิดก็จะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า และได้รับความลำบากเปล่า"  

        วิบากแห่งกรรมเป็นหนึ่งในอจินไตย ๔ อย่าง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ไม่ควรคิด ถ้าคิดก็อาจทำให้มีส่วนแห่งความเป็นบ้าได้ เพราะเรื่องของกรรมมีความสลับซับซ้อนมาก เกินกว่าสติปัญญาของปุถุชนทั่วไปจะคาดคิดด้นเดาได้ ต้องใช้ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการรู้แจ้งเห็นจริง จึงจะสามารถเชื่อมโยงเหตุและผล กรรมและผลของกรรมได้อย่าง  ถูกต้องชัดเจน เพราะชีวิตในปัจจุบัน ย่อมเป็นผลมาจากการกระทำในอดีต และชีวิตในอนาคต ย่อมเป็นผลมาจากเหตุที่กระทำในปัจจุบันทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ซึ่งเป็นผังสำเร็จติดแน่นอยู่ที่ศูนย์กลางกายของทุกคน



พระสีวลีเถระ เมื่อเป็นพระเป็นผู้เลิศในทางลาภและยศ แต่ต้องเป็นทุกข์อยู่ในครรภ์มารดา  ปี  เดือน  วัน เพราะกฎแห่งกรรมที่ให้ผลคละกัน

เรื่องราวมีดังนี้

สาเหตุที่พระสีวลีเถระเป็นผู้เลิศทางโชคลาภ (ดังพระพุทธวจนะว่า “เอตทคฺคํ ภิกฺขเว มม สาวกานํ ลาภีนํ ยทิทํ สีวลีติฯ แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย พระสีวลีเถระนั้นเป็นผู้ที่เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่เป็นสาวกทั้งหมดของตถาคตในทางมีลาภมาก) นั้นเพราะเป็นไปตาม กฎแห่งกรรม ที่กระทำในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า "วิปัสสี" ท่านพระสีวลีได้เกิดเป็นชาวบ้านนอกคนหนึ่งและท่านได้ร่วมถวายมหาทานกับชาวเมือง ซึ่งได้จัดถวายทานแข่งพระราชา แต่ยังขาดเฉพาะน้ำผึ้งสด โดยท่านได้ถวายน้ำผึ้งสด ซึ่งชาวบ้านได้ขอซื้อถึงหนึ่งพันกหาปณะ ทั้งที่น้ำผึ้งมีราคาไม่ถึงหนึ่งบาทด้วยซ้ำไป
แต่ท่านไม่ขายกลับขอเข้ามีส่วนร่วมในการถวายทานแก่พระวิปัสสีพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ ๖๘0,000 รูปด้วย ซึ่งด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าทำให้น้ำผึ้งนั้นมีประมาณเพียงพอแก่พระสงฆ์ทั้งหมด


     แต่...พระกุมารสีวลี ท่านต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในครรภ์ถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน จึงประสูติ จากนั้นพระมารดาได้ถวายมหาทานกับพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมภิกษุสงฆ์ตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ ของการถวายทาน พระสารีบุตรเถระถามพระกุมารต่อจากตอนที่แล้วว่า "สีวลี เธอได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสเช่นนี้ การบวชไม่ดีสำหรับเธอหรือ"
   
        พระกุมารตอบว่า "ถ้าหากได้รับอนุญาต ผมก็จะบวชขอรับ"

        พระนางสุปปวาสาเห็นพระสารีบุตรเถระสนทนากับบุตรชาย จึงเข้าไปสอบถาม เมื่อทราบว่าาสีวลีราชกุมารปรารถนาจะออกผนวช พระนางสุปปวาสาเห็นว่า การตัดสินใจของพระกุมารเป็นไปเพื่อบุญกุศล จึงอนุญาตว่า "ดีแล้วเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าจงให้กุมารบวชเถิด"

        เมื่อพระสารีบุตรเถระได้รับอนุญาตจากพระนางแล้ว จึงนำพระสีวลีกุมารไปที่พระวิหาร สอนตจปัญจกกัมมัฏฐานโดยอนุโลมและปฏิโลม และสอนต่อไปว่า "สีวลี เธอจงพิจารณาทุกข์ที่เธอได้เสวยตลอด ๗ ปี ๗ เดือนกับอีก ๗ วันนั้นเถิด"

        พระกุมารเรียนว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้า การบรรพชาของกระผมเป็นภาระของท่าน หากกระผมสามารถทำสิ่งใดได้ กระผมจะพยายามทำสิ่งนั้นด้วยตนเอง ขอรับ"

        ด้วยมีพระชนเพียง ๗ พรรษา สีวลีกุมารทรงตัดสินใจบวชถวายชีวิตในพระศาสนา แม้การบรรลุธรรมก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก เพราะพระกุมารเป็นผู้ที่สั่งสมบุญมาดีแล้วในอดีตชาติ เมื่อถึงคราวจะบรรลุธรรม ก็เป็นประเภทสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา คือ ปฏิบัติได้สะดวกและรู้เห็นได้อย่างรวดเร็ว หลังจากได้รับฟังโอวาทจากพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรแล้ว ขณะโกนผมของพระกุมาร เพียงจดมีดโกนลงครั้งแรก สีวลีกุมารสามารถทำใจให้หยุดนิ่ง ตามตรึกระลึกถึงโอวาทของพระอุปัชฌาย์ และทุกขเวทนาที่ได้รับขณะอยู่ในครรภ์ กระทั่งใจหยุดนิ่งได้สนิท   ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันในทันทีนั้นเอง

        ขณะโกนผมได้ครึ่งศีรษะ ท่านได้บรรลุสกิทาคามิผล และขณะโกนไปได้สามในสี่ ก็ได้บรรลุถึงกายธรรมพระอนาคามี

        ทันทีที่โกนหมดศีรษะ ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทันที ไม่ก่อนไม่หลังกัน ตั้งแต่พระกุมารบวช ปัจจัยสี่เกิดขึ้นกับท่านมากมาย และยังมีเพียงพอสำหรับภิกษุสงฆ์ทั้งหลายอีกด้วย

        นี่คือเรื่องราวของพระสีวลีเถระในช่วงที่บุญส่งผลอย่างเต็มที่ระหว่างที่เป็นคฤหัสถ์กระทั่งเป็นพระอริยเจ้า


        ส่วนอีกมุมหนึ่งของชีวิตที่ท่านเคยทำผิดพลาดไว้ ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในครรภ์นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วันนั้น เรื่องราวในอดีตชาติของท่านมีอยู่ว่า  

        ชาติหนึ่ง ท่านจุติจากเทวโลกมาบังเกิดในราชตระกูลที่กรุงพาราณสี ต่อมาได้ขึ้นครองราชสมบัติแทนพระราชบิดา  ครั้นได้เป็นพระราชา ทรงยกทัพไปล้อมเมืองๆ หนึ่งไว้ และได้ส่งพระราชสาสน์ถึงชาวเมืองนั้นว่า "จะให้ราชสมบัติหรือจะทำการรบ ขอให้ตอบมา"

        ชาวเมืองตอบว่า "พวกเราจะไม่ให้ราชสมบัติ และจะไม่สู้รบด้วย" จากนั้นพากันปิดประตูเมือง อาศัยเพียงประตูเล็กด้านหลังเมืองเพื่อไปหาฟืน อาหาร และน้ำเท่านั้น

        พระเจ้าพาราณสีสั่งทหารให้รักษาประตูใหญ่ ๔ ประตู ล้อมเมืองไว้ถึง ๗ ปี ๗ เดือน นับเป็นเวลานานมาก จนพระราชมารดาของพระองค์สงสัยว่า ทำไมทำการศึกนานนัก ครั้นทรงรู้ถึงสาเหตุ

        พระนางได้ตรัสว่า "บุตรของเราช่างโง่นัก" ทรงมีพระราชเสาวนีย์ฝากไปบอกพระโอรสว่า "จงปิดประตูเล็กทั้งหมด เพื่อมิให้ชาวเมืองเข้าออกโดยเด็ดขาด"  

        พระเจ้าพาราณสีทรงปฏิบัติตาม โดยสั่งให้ปิดประตูเล็กเหล่านั้นทั้งหมด เมื่อชาวเมืองเข้าออกเมืองไม่ได้ ต่างเดือดร้อนเพราะขาดเสบียง ในวันที่ ๗ ชาวเมืองจึงได้พร้อมใจกันจับพระราชาของพวกตนสำเร็จโทษ และได้ยกเมืองให้กับพระเจ้าพาราณสีในที่สุด

        ด้วยกรรมนี้ทำให้ท่านต้องไปตกในอเวจีมหานรกนานจนพื้นแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ จึงพ้นกรรมจากนรก มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดานานถึง ๗ ปี ๗ เดือน และยังไปนอนขวางในครรภ์อีก ๗ วัน เพราะบาปกรรมที่ปิดประตูเล็ก ๗ วันนั่นเอง ส่วนพระนางสุปปวาสาก็คือพระราชมารดาของพระราชาในชาตินั้น

        นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่เคยผิดพลาดมาในอดีต จากเรื่องนี้ เราจะเห็นได้ว่า ตำแหน่งหน้าที่การงานทั้งหลาย เปรียบเสมือนดาบสองคม ถ้าเราจับไม่ดี ย่อมมีสิทธิ์ลูบคมดาบ และถูกบาดได้ง่ายๆ แต่ถ้าจับด้วยความระมัดระวัง และนำมาใช้ประโยชน์ ประโยชน์มากมายย่อมเกิดขึ้น


        อันที่จริง ตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ ล้วนเป็นของสมมติ เพื่อไว้ใช้สร้างบารมี ย่นย่อหนทางพระนิพพานให้สั้นลง แต่ผู้ไม่รู้ กลับใช้ก่อกรรมทำบาปอกุศล  แม้บุญเก่าจะทำมาดีให้ได้เกิดเป็นพระราชา แต่ถ้าประมาทใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางที่ผิด ย่อมมีทุคติเป็นที่ไป ฉะนั้นทั้งบุญและบาปที่ได้ทำไป จะคอยติดตามส่งผลตลอดเวลา ไม่ได้สูญหาย ไปไหนแน่นอน

        บางทีเราทำกรรมแค่ครั้งเดียว แต่ต้องไปใช้ผลกรรมหลายชาติ ถ้าเป็นบุญก็ตามส่งผลให้ได้ไปเสวยผลบุญในสุคติโลกสวรรค์ยาวนาน ถ้าเป็นบาปอกุศลก็ตามส่งผลให้ต้องไปเสวยวิบากกรรมในทุคติภูมิยาวนานเช่นกัน เมื่อส่วนของกรรมใช้ไปหมดแล้ว แต่เศษของกรรมยังเหลืออยู่ ย่อมต้องทนใช้เศษกรรมต่อไปอีก กระทั่งภพชาติสุดท้ายในสังสารวัฏ

        ดังนั้นชีวิตในสังสารวัฏมีเพียงบุญกับบาปเท่านั้น ถ้าเราไม่ทำบุญ บาปอกุศลจะเข้ามาแทน ทำให้ใจเรายินดีในการทำบาป เพราะฉะนั้นเราต้องหมั่นทำบุญบ่อยๆ ทำบุญใหญ่ๆ ใจเราจะได้ใสๆ ให้ใจของเราชุ่มอยู่ในบุญ กระทั่งบาปไม่ได้ช่อง ชีวิตของเราจะได้ไม่หม่นหมอง จะผ่องใส และได้เข้าถึงพระรัตนตรัยกันทุกๆ คน



 ที่มา: 
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=907280759383613&id=617970181648007


http://buddha.dmc.tv/ธรรมะเพื่อประชาชน/mongkol01-58.html

ความคิดเห็น

  1. ขอกราบอนุโมทนาบุญค่ะ ที่เมตตาชี้แนะ ชี้นำ ให้เห็นถึงโทษของการทำบาปค่ะ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ6 กันยายน 2560 เวลา 13:18

    สาธุค่ะ

    ตอบลบ

  3. กราบอนุโมทนาบุญ
    ด้วยครับ สาธุครับ

    ตอบลบ
  4. ทั้งต้นเหตุและปลายเหตุมีเพียงบุญและบาปเท่านั้นเอง

    ตอบลบ
  5. การดำรงชีวิตประจำวัน ต้องไม่ประมาท ไม่งั้นอาจก่อบาปได้ง่ายจากการทำผิดศีล5ครับ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อัมพชาดก: มนต์เสื่อมเพราะลบหลู่ครูอาจารย์

จรณทักษะ มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน แต่ทำให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรที่ดี