การทะเลาะวิวาทกัน เป็นเหตุแห่งภัย... การไม่วิวาทกัน เป็นความเกษมสำราญ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย จริยาปิฎก ว่า

"วิวาทํ ภยโต ทิสฺวา    อวิวาทญฺจ เขมโต
 สมคฺคา สขิลา โหถ    เอสา พุทฺธานุสาสนี"


"ท่านทั้งหลายจงเห็นการทะเลาะวิวาทกันว่า เป็นเหตุแห่งภัย และเห็นการไม่วิวาทกันว่า เป็นความเกษมสำราญแล้ว พึงเป็นผู้พร้อมเพรียง มีความประนีประนอมกันเถิด นี้เป็นพระพุทธานุสาสนี”

การทะเลาะวิวาทนำมาซึ่งความแตกแยก ทำให้เกิดความห่างเหิน จะแสวงหาความรักความเมตตาจากคนที่ทะเลาะกันไม่ได้เลย มีภัยต่างๆ มากมายที่เกิดจากการทะเลาะกัน ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน มีการมองต่างมุม เมื่อมองคนละมุม ย่อมเห็นไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างคิดว่าวิธีการของตนเองดีที่สุด แม้เพียงสังเกตจากรูปร่างหน้าตา คนในปัจจุบันยังเริ่มรังเกียจกันแล้ว ทำให้เกิดความแตกแยก ความรักกันฉันท์มิตรเริ่มห่างออกไปทุกขณะ

     ตลอดพระชนม์ชีพของการเผยแผ่พระสัทธรรมของพระบรมศาสดาของเรา พระองค์ทรงเป็นประดุจน้ำทิพย์ชโลมดิน เชื่อมประสานมนุษยชาติให้มีความเข้าใจอันดีต่อกัน ไม่ทรงสนับสนุนการแบ่งเชื้อชาติ ผิวพรรณ วรรณะ ไม่ให้มีการทะเลาะวิวาทกัน 

ทรงสอนให้มีความเมตตาปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า เรารักพ่อแม่ลูกหลานญาติมิตรเพียงไร ก็ให้มีความรักปรารถนาดีต่อทุกๆ คนในโลกเพียงนั้น ให้มองว่าโลกใบนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ เพราะจุดกำเนิดของทุกคนมาจากต้นแหล่งเดียวกัน

     ครั้นกาลเวลาได้หมุนเวียนเปลี่ยนไป อีกทั้งมีภพชาติมาขีดคั่นไว้ ทำให้เราไม่รู้ว่า อันที่จริงแล้วพวกเราเป็นเพื่อนพ้องพี่น้องกัน เป็นญาติกันทั้งนั้น

     * เหมือนในสมัยพุทธกาล นักบวชนอกศาสนาชื่อวาเสฏฐะ และภารทวาชะ มีความศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนามาก จึงมาขอบวชเป็นสามเณร อาศัยอยู่กับพระภิกษุ แล้วตั้งใจปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เย็นวันหนึ่ง ทั้งสองรูปพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะได้ฟังธรรมอันประเสริฐจากพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “พวกเธอเคยเป็นพราหมณ์มาก่อน แล้วมาเปลี่ยนศาสนาอย่างนี้ ไม่โดนเขาว่าเอาบ้างหรือ”

     วาเสฏฐะกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ไม่พอใจพวกเราเป็นอย่างมาก อีกทั้งด่าด้วยถ้อยคำหยาบ พวกเขากล่าวหาว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐที่สุด วรรณะเหล่าอื่นเลวทราม พวกพราหมณ์เป็นผู้บริสุทธิ์ บุคคลอื่นไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์ทั้งหมดเกิดจากปากของพระพรหม พวกท่านมาละทิ้งวรรณะที่ประเสริฐ เข้าไปอยู่ในวรรณะที่เลวทราม คือพวกสมณะโล้น ที่เกิดจากเท้าของพระพรหมทำไม”

     พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสให้กำลังใจว่า “ดูก่อนวาเสฏฐะ และภารทวาชะ พวกพราหมณ์ระลึกถึงเรื่องเก่าของตนเองไม่ได้ จึงว่ากล่าวพวกเธอเช่นนั้น  ถ้าหากทุกเชื้อชาติ วรรณะ เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต ไม่ลักขโมย ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ส่อเสียด คำหยาบ เพ้อเจ้อ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของคนอื่น มีจิตไม่พยาบาท เป็นสัมมาทิฏฐิ แม้จะอยู่ในสถานะใด ก็น่านับถือทั้งนั้นแหละ เพราะธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนและในหมู่มนุษย์ ผู้ฝึกตนดีแล้วเป็นผู้ประเสริฐที่สุด”

     อันที่จริงแล้ว ลูกของพราหมณ์ทุกคน เป็นผู้เกิดจากนางพราหมณีทั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากปากของพรหม เขาพากันกล่าวตู่พระพรหม ในสมัยกำเนิดโลกใหม่ๆ โน้น หลังจากที่โลกเย็นตัวลง เกิดเป็นหมอกควัน บรรยากาศค่อยเย็นตัวลง จักรวาลนี้กลายเป็นน้ำไปหมด มีแต่ความมืด ทั้งดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ยังไม่ปรากฏ ดวงดาวนักษัตรก็ยังไม่มี ไม่มีกลางคืนหรือกลางวัน



     สมัยแรกๆ ง้วนดินเกิดขึ้นมาลอยอยู่บนน้ำ คล้ายน้ำนมสดที่เคี่ยวแล้ว ทำให้เย็นสนิท ง้วนดินสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใสอย่างดี มีรสอร่อยมาก เหล่าอาภัสสรพรหมที่ล่องลอยไปในอากาศ ได้กลิ่นหอมหวนยั่วยวนใจ เกิดความสงสัยขึ้นมา จึงทดลองเอานิ้วมือช้อนเอาง้วนดินขึ้นมาชิม ทันใดนั้นเอง ง้วนดินได้แผ่ซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ทำให้อยากจะบริโภคอีก

     เนื่องจากง้วนดินมีลักษณะกึ่งหยาบกึ่งละเอียด เมื่อบริโภคเข้าไปทำให้รัศมีกายหายไป ร่างกายหนักไม่สามารถเหาะกลับขึ้นไปบนพรหมโลกได้  เมื่อรัศมีเฉพาะตัวหายไป พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้นมาให้ความสว่าง หมู่ดาวนักษัตรก็ปรากฏตามมา ทำให้เห็นเป็นกลางคืนกลางวัน เมื่อหมู่สัตว์พากันบริโภคง้วนดินเป็นอาหาร ความแข็งแกร่งของร่างกายก็เกิดขึ้น มีผิวพรรณดี แต่บางพวกมีผิวพรรณหยาบกร้านตามกำลังบุญที่เคยสั่งสมเอาไว้ เมื่อมีการดูหมิ่นเรื่องผิวพรรณ ง้วนดินได้อันตรธานหายไป เหลือเพียงกะบิดินซึ่งมีรูปร่างคล้ายเห็ด มีกลิ่น รส หอมอร่อย มนุษย์สมัยนั้นพากันบริโภคกะบิดินเป็นอาหาร

     เมื่อบริโภคไปมากๆ ประกอบกับการดูถูกเหยียดหยามเรื่องสีผิวกันมากขึ้น กะบิดินก็อันตรธานหายไปอีก แม้กะบิดินหายไป แต่เนื่องจากเคยสั่งสมบุญเอาไว้มาก เครือดินก็ปรากฏขึ้นมาแทน เครือดินมีลักษณะคล้ายๆ กับผลมะพร้าว มีสี มีกลิ่น หอมหวานเหมือนกัน เมื่อไม่มีกะบิดิน ก็ต้องบริโภคเครือดินเป็นอาหารเรื่อยมา จากที่เคยรับประทานเครือดิน ก็เปลี่ยนมาเป็นข้าวสาลี ซึ่งบังเกิดโดยไม่ต้องไถหว่านกัน ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ มีกลิ่นหอม สมัยแรกๆ คนพากันขนข้าวสาลีมารับประทาน มีสารอาหารครบทุกหมู่ โดยไม่จำเป็นต้องไปหาอาหารอย่างอื่นมาบริโภคอีก


     กาลเวลาผ่านไปเป็นล้านๆ ปี จากที่เคยเสวยสุขด้วยฌานสมาบัติบนพรหมโลก กลายมาเป็นมนุษย์ต้นกัปผู้บริโภคข้าวสาลีซึ่งเป็นของหยาบ บางคนเกียจคร้าน ไม่อยากเสียเวลาออกไปเก็บข้าวสาลีทุกวัน ก็ไปขนมาจากไร่คราวละมากๆ มากักตุนเอาไว้ ทำให้ข้าวสาลีงอกขึ้นมาไม่ทัน จากเมล็ดเท่าผลมะพร้าว ก็เล็กลงๆ ทุกวัน โอชารสหดหายไปด้วย


     เมื่อผู้คนเริ่มมากขึ้น มีการแยกย้ายกันไปอยู่ตามใจชอบ มีการแบ่งเขตพื้นที่กัน ครั้นกาลเวลาผ่านไปอีก เกิดมีแม่น้ำ ภูเขา ทะเล มาขวางกั้น ทำให้มนุษย์ห่างเหินกันมากขึ้นๆ จนแทบจะจำกันไม่ได้เลย เหมือนเราเคยเจอใครคนหนึ่ง แต่เมื่อจากกันนานๆ ก็จำกันไม่ได้แล้ว ชีวิตและความเป็นอยู่ของแต่ละแห่งแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม ทำให้มีภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป มีที่พึ่งที่ระลึกไม่เหมือนกัน ความเป็นหมู่ญาติกันเริ่มหดหายไป กลายเป็นคนแปลกหน้า เหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างนี้แหละ แล้วยังจะคงหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแตกสลายในที่สุด



     บัดนี้ พวกเราได้ทราบแล้วว่า โลกนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ ที่ทุกคนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน เป็นหมู่ญาติกันมาก่อน จึงควรที่เราจะมีความเมตตา พร้อมจะให้อภัยแก่กันและกัน เรามาร่วมกันรังสรรค์โลกนี้ให้น่าอยู่กันเถอะ ช่วยกันทำโลกนี้ให้เป็นโลกในอุดมคติของมวลมนุษยชาติที่ไม่มีการแบ่งแยก ทุกคนมีความคิดคำพูดการกระทำที่เหมือนๆ กัน รักในการทำความดี มีจุดร่วมในการแสวงหาความสุขภายในเหมือนกัน เพราะเป้าหมายของมนุษย์ ก็คือทำตนให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปสู่พระนิพพานอันเป็นอมตะ



     เพราะฉะนั้น ให้หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในตัวให้ได้ แล้วจะรู้ว่า มนุษย์ทุกคนมาจากต้นแหล่งเดียวกัน และจะกลับไปสู่ความเหมือนกันทั้งหมด จะทำให้เรารักสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า ด้วยความปรารถนาดีอย่างแท้จริง



ที่มา:
http://buddha.dmc.tv//ธรรมะเพื่อประชาชน/เพื่อนพ้องพี่น้องกัน.html

ความคิดเห็น

  1. สาธุ ขอกราบขอบพระคุณกับข้อมูลที่ดีและมีประโยชน์อย่างยิ่งนี้ สาธุ

    ตอบลบ
  2. วิวาทมูล มูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทกัน

    ...เพราะไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้าเป็นต้นนั่นแล คือ ไม่ยกพระศาสดาให้เป็นใหญ่อยู่ .(เพราะพุทธองค์ไม่โปรดการทะเลาะวิวาท ทรงโปรดความสามัคคีกัน)...ไม่ประพฤติถ่อมตน..และเพราะ มีความยึดถือความเห็นของตนเท่านั้น คือ ข้อใดอันตนได้เห็นแล้ว คิดแล้ว พูดไปแล้ว ย่อมยึดข้อนั้นว่า ข้อนี้เท่านั้น เป็นจริง ข้ออื่นความเห็นของผู้อื่นเป็นเท็จหมด ได้แก่ มักยึดไว้อย่างมั่นคง ไม่สละคืนทิฏฐิมานะนั้น

    ถ้าว่า ท่านทั้งหลายพึงเล็งเห็นมูลแห่งวิวาทเห็นปานนั้นในสันดานของตนก็ดี ในพวกของตนก็ดี ในบริษัทของตนก็ดี หรือในสันดานของผู้อื่นก็ดี ในพวกของผู้อื่นก็ดี ทั้งในสันดานของตนและผู้อื่น หรือทั้งในบริษัทของตนและผู้อื่น อันต่างกันด้วยมีในภายในและมีในภายนอกนั้น...และเห็นโทษทัณฑ์แห่งวิวาทมูลนั้นแล้ว

    ต่อแต่นั้น.. ท่านทั้งหลายพึงพยายามเพื่อละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั่นแล ด้วยภาวนา เช่น เมตตาภาวนา เป็นต้นเสีย
    เพราะว่า... วิวาทมูลนั้น ที่มีอยู่ทั้งในภายใน ทั้งที่มีในภายนอกย่อมละเสียได้ ด้วยภาวนามีเมตตาภาวนาเป็นต้น ฉะนี้แลฯ

    ตอบลบ
  3. ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จงแก้ปัญหานั้นๆด้วยสติปัญญา อย่าใช้แต่อารมณ์และความหลงงมงายในการตัดสินปัญหานั้นๆ เพราะมันมีเสื่อมลงเรื่อยๆ ไม่มีสิ่งดีๆใหม่ๆเกิดขึ้นได้เลย

    ตอบลบ
  4. ความสุขใดจะมั่นคงและยั่งยืนเท่ากับ การปฏิบัติตามหลักในพระพุทธศาสนา เป็นไม่มีครับ

    ตอบลบ
  5. ต้องใช้สติ กับ ปัญญา แก้ปัญหานะครับ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อัมพชาดก: มนต์เสื่อมเพราะลบหลู่ครูอาจารย์

คนที่ชอบด่าว่าหรือใส่ร้ายผู้อื่น กรรมจะมาเร็วมาก เป็นกรรมทางวาจา มีผลร้ายแรงมาก

ใจสบายไปทั่วโลก กับบทแผ่เมตตาภาษาอังกฤษ