เรื่องดีๆในสังคมไทย ..เมื่อสถาปนิกจิตอาสาชวนกันมาช่วยออกแบบวัด จัดโซนนิ่ง มาทำให้วัดสัปปายะมากยิ่งขึ้น
การจรรโลงพระพุทธศาสนา เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัทสี่
เป็นเรื่องดีงามที่มีกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นอุบาสก อุบาสิกา ผู้มีความรู้เรื่องการออกแบบ
รวมกลุ่มจิตอาสา เข้ามาช่วยพระภิกษุสงฆ์จัดสรรสิ่งแวดล้อมทั้งหมดในเชิงกายภาพของวัด
โดยคำนึงถึงมิติทางภูมิศาสตร์ มิติทางอารมณ์ความรู้สึก
จิตใจของคนที่จะเข้ามาใช้พื้นที่ เพื่อให้วัดมีความเป็นสัปปายะมากยิ่งขึ้น เอื้อต่อการศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรม
จึงเกิดโครงการ ‘วัดบันดาลใจ’ ขึ้นมา
คลิกชมวีดีโอ 1
สภาปนิก ภูมิสถาปนิก มัฑนากร ฯลฯ
มาร่วมกันวางผังแม่บทในวัด เพื่อออกแบบพื้นที่
และออกแบบความรู้สึก ให้คนที่มาใช้วัด
นี่คือสิ่งที่วัดหลายแห่งยังต้องการเพื่อทำให้วัดเป็นพื้นที่สัปปายะ
คลิกชมวีดีโอ 2
‘วัดบันดาลใจ’
โครงการบันดาลวัดให้กลับคืนสู่ศูนย์รวมจิตใจของชุมชน ในยุคที่หลายวัดเปลี่ยนบทบาทจากศูนย์รวมจิตใจกลายมาเป็นที่จอดรถ
สถาบันอาศรมศิลป์
สถาบันการศึกษาที่มีความสนใจในสถาปัตยกรรมที่มีรากมาจากภูมิปัญญาไทยและกระบวนการมีส่วนร่วมในการออกแบบสถาปัตยกรรม
จึงคิดทำโครงการ ‘วัดบันดาลใจ’ เพื่อพลิกฟื้นวัดให้กลับมาเป็นศูนย์รวมจิตใจคนในสังคมเหมือนก่อน
คนจะได้หันหน้าเข้าหาวัดมากขึ้นด้วยการปรับโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม
ระบบจัดการภายในวัดและกิจกรรมธรรมะต่างๆ เราเลยชวน ประยงค์ โพธิ์ศรีประเสริฐ, ปริยาภรณ์
สุขกุล และ ยิ่งยง ปุณโณปถัมภ์ ทีมงานหลักของ 'อาศรมสถาปนิกชุมชนและสิ่งแวดล้อม' องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่นำความรู้ไปบริการสังคม
หนึ่งในโครงข่ายของสถาบันอาศรมศิลป์
มานั่งคุยถึงการบ่มเพาะโครงการแสนบันดาลใจนี้ให้ชูดอกออกผลอย่างงดงาม
๑. เห็นความสำคัญจึงบันดาลใจ
เมื่อบทบาทของวัดในสังคมไทยเริ่มเปลี่ยนไป
วัดหลายแห่งในย่านการค้าจึงกลายเป็นเพียงที่จอดรถให้คนที่มาทำกิจธุระบริเวณนั้น
บางแห่งก็กลายเป็นพุทธพาณิชย์
ทีมอาศรมสถาปนิกชุมชนและสิ่งแวดล้อมเลยคิดเริ่มทำโครงการวัดบันดาลใจขึ้นมาตั้งแต่เดือนกันยายน
๒๕๕๗ ร่วมกับ สสส. โดยตั้งใจว่าอยากทำให้วัดกลับมาเป็นศูนย์กลางทั้งทางจิตวิญญาณและกายภาพของชุมชนดังเดิม
๒. คัดสรรวัด ๙ แห่ง
จากรายชื่อแรกที่เสนอไปแค่ ๓ วัด แต่ สสส.
อยากให้โครงการนี้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนทีมงานจึงเสนอเพิ่มเป็น ๙ วัด
โดยเลือกจากวัดที่เจ้าอาวาสมีวิสัยทัศน์สอดคล้องกับแนวคิดโครงการ
เป็นวัดที่มีคนรู้จักและกระจายอยู่ทุกภูมิภาค จะได้เป็นแรงบันดาลใจให้วัดอื่นๆ
อยากพัฒนาบ้าง ที่สำคัญคือแต่ละวัดต้องมีจุดเด่นหรือศักยภาพไม่ซ้ำกัน เช่น
วัดที่เน้นสอนธรรมะ วัดที่เน้นการปฏิบัติธรรมเผยแพร่ศาสนา
วัดโบราณสถานที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
วัด ๙ แห่งที่เป็นต้นแบบของโครงการ คือ
วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จังหวัดนครพนม, วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จังหวัดเชียงใหม่, วัดนางชี
กรุงเทพฯ, วัดชลประทานรังสฤษดิ์
จังหวัดนนทบุรี, วัดภูเขาทอง
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, วัดสุทธิวราราม
กรุงเทพฯ, วัดศรีทวี
จังหวัดนครศรีธรรมราช, วัดป่าโนนกุดหล่ม
จังหวัดศรีสะเกษ และวัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
๓. ฟอร์มทีมติดอาวุธทางปัญญา
โครงการนี้ยังได้หน่วยงานหลายภาคส่วนมาช่วยรับผิดชอบในแต่ละด้าน
อย่างการออกแบบก็ร่วมมือกับสมาคมวิชาชีพ ๓ แห่ง คือ
สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย
และสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย ด้านกิจกรรมร่วมมือกับหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
ด้านงานวิจัยได้ รศ. ดร.อรศรี งามวิทยาพงศ์ และคณะจากวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย
อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาช่วย รวมไปถึงดึงพลังจากกลุ่มชูใจ กะ
กัลยาณมิตรมาช่วยงานด้านสื่อสาร
๔. ลงพื้นที่ธรรมแล้วลงมือทำ
เมื่อได้ ๙ วัดนำร่องแล้ว
ทีมอาศรมศิลป์ก็ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกลางเพื่อหานักออกแบบอาสาสมัครให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละวัด
และช่วยดูแลจัดการการดำเนินงานร่วมกันระหว่างวัดและนักออกแบบอาสา
เริ่มจากการพูดคุยปัญหากับเจ้าอาวาสชุมชนและเครือข่ายของทางวัด
เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดกว้างๆ ร่างเป็นผังแม่บทขั้นที่หนึ่ง
เสนอเจ้าอาวาสหรือคณะกรรมการวัดเพื่อพัฒนาร่วมกัน
จนออกมาเป็นโจทย์เฉพาะของแต่ละวัดที่ต้องทำให้ได้ ๒-๓ ประเด็น เช่น
ปรับผังจัดโซนต่างๆ ในวัดใหม่ เพิ่มพื้นที่สีเขียวสร้างความร่มรื่น
หรือแม้กระทั่งสร้างระบบการจัดการต่างๆ ภายในวัดอย่างระบบการแยกขยะ
แล้วพัฒนาผังแม่บทสุดท้ายที่สามารถนำไปพัฒนาได้จริง
พร้อมกับมิตรภาพที่ดีต่อกันของทีมงาน พระสงฆ์ และชาวบ้านในแต่ละพื้นที่
ด้วยเงินทุนของวัดที่จำกัด
จึงต้องเริ่มทำปัญหาที่สำคัญและเร่งด่วนก่อน บางส่วนเมื่อทำเสร็จ
ก็สามารถทดลองทำกิจกรรมได้เลยว่าใช้ได้หรือไม่
จะได้ปรับเปลี่ยนแก้ไขปัญหากันไปจนเหมาะสม ซึ่งแต่ละวัดใช้เวลาต่างกัน
ขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ทั้งความซับซ้อนของปัญหา
ขนาดพื้นที่วัดและความมุ่งมั่นกระตือรือร้นของพุทธบริษัท
๕. ธรรมะออกแบบได้
“ปกติเราไม่ค่อยคุยกับพระ ก็จะรู้สึกเกร็งๆ
แต่พอเข้าไปทำงานกับท่านจริงๆ เราก็สื่อสารกับท่านได้
สำคัญมากคือต้องทำให้ท่านเห็นสิ่งที่เราคิดเป็นรูปธรรม ท่านจะเริ่มเชื่อใจ
เวลาฟังบรีฟงานจากท่าน
ท่านก็บอกเหตุผลและเล่าแก่นธรรมถึงสิ่งที่ต้องการสอนให้กับญาติโยมที่จะมาวัด
ทีมเราได้เข้าไปศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมด้วย
พุทธศาสนาเป็นปรัชญาและความซับซ้อนบางอย่างที่เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อให้งานออกแบบนี้ไม่ได้มีแค่ความสวยงามอย่างเดียว
แต่ต้องมีธรรมะสอดแทรกเข้ามา
รวมถึงคำนึงว่าคนมาวัดแต่ละแห่งก็เป็นกลุ่มคนที่แตกต่างกัน”
ปริยาภรณ์อธิบายถึงหลักการทำงานร่วมกับทางวัด
๖. สร้างบทสนทนาเรียนรู้กันและกัน
พอได้แบบที่แน่นอน
ทีมงานก็จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักออกแบบของทั้ง ๙ วัด มาเล่าโจทย์ต่างๆ
ให้ฟังว่าทำงานแก้ปัญหากันอย่างไร ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
รวมถึงได้นิมนต์เจ้าอาวาสและพระสงฆ์ของแต่ละวัดมาร่วมเรียนรู้ด้วย
ทำให้ทั้งพระและนักออกแบบเริ่มมองเห็นทิศทางการพัฒนาไปในทางเดียวกันและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
๗. การบอกต่อก่อให้เกิดผลล้นหลาม
ทีมงานเริ่มตั้งเป้าขยายผลโครงการ
โดยจัดงานเสวนาเพื่อดึงพระจากวัดอื่นๆ ที่สนใจเข้ามาร่วมพัฒนาให้ไปไกลกว่าแค่ ๙
วัดนำร่อง มีวัดต่างๆ ส่งใบสมัครเข้ามาถึง ๓๒ แห่ง คัดเลือกจนได้ ๑๖ แห่ง
ที่ตอนนี้กำลังลงพื้นที่สำรวจอยู่
อีกส่วนยังมาจากการบอกต่อของเจ้าอาวาสวัดนำร่องที่เฟ้นหาวัดมาแนะนำ แถมบางครั้งยังไปช่วยอธิบายแนวคิดโครงการให้เสร็จสรรพ
ตอนนี้มีวัดอีก ๑๑ แห่งที่เริ่มทำงานกันแล้ว
ในขณะเดียวกันก็มีนักออกแบบทั้งในนามบริษัทและส่วนบุคคลที่สนใจเข้ามาช่วย
ทั้งหมดนี้ถือเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งที่โครงการสามารถไปต่อได้ถึงขั้นที่พระสงฆ์เข้าใจและขยายผลกันเอง
๘. จากแนวคิดนามธรรมสู่ความสำเร็จรูปธรรม
"ส่วนที่วัดสุทธิวราราม
เราก็ปรับภูมิทัศน์ใหม่โดยสร้างพื้นที่สีเขียวให้ร่มรื่นมากขึ้น รวมถึงปรับปรุง 'ศาลา
ณ สงขลา' ของวัด
เปิดเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ให้ชาวบ้านเข้ามาใช้ประโยชน์ จัดกิจกรรมอย่าง
‘ดูหนังหาแก่นธรรม’ ขึ้น ซึ่งทางวัดก็เข้ามาช่วยอย่างดี
จะเห็นว่าถ้าวัดมีขนาดเล็กไม่ซับซ้อนมาก และทุกฝ่ายทำงานแบบลุยเต็มที่
เวลาแค่ปีครึ่งก็จะเห็นผลแล้ว"
๙. โครงการบันดาลไกล
จากเป้าหมายเบื้องต้นที่ทีมงานแค่อยากขยายผลให้เกิดองค์ความรู้ใน
๑๐๐ วัด ก็เริ่มเล็งเห็นว่าน่าจะเป็นไปได้ที่จะสามารถทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมทั้ง
๑๐๐ แห่ง เพียงแต่ขอบเขตการพัฒนาของแต่ละวัดจะไม่เท่ากัน
บางวัดอาจทำตั้งแต่มาสเตอร์แพลนไปจนถึงขั้นตอนก่อสร้างและคิดกิจกรรมธรรมนำใจ
แต่บางวัด เจ้าอาวาสอาจขอแค่ให้ไปช่วยในบางเรื่องก็ได้
"พอทำงานกับ ๙ วัดนำร่องนี้แล้ว
เราจะรู้ว่าวัดนี้ควรใช้เครื่องมืออะไร ควรแก้ปัญหาอย่างไรตั้งแต่ต้น
เราจะปรับเปลี่ยนกระบวนการให้มีประสิทธิภาพขึ้นเรื่อยๆ
รวมถึงเราอาจพูดเก่งกว่าเดิม สื่อสารกับพระท่านได้ดีขึ้น แต่เราคงทำทั้ง ๑๐๐
วัดไม่ไหว วัดบันดาลใจจะร่วมกับเครือข่ายในท้องถิ่นแต่ละสถานที่เพื่อขยายการทำงาน
วิธีนี้จะเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว"
"เวลาที่วัดจัดงานบุญหรือปฏิบัติธรรมแล้วเราเห็นคุณตาย่ายายเดินถือชะลอมมา
มีคนหนุ่มสาวเข้าไปช่วย แล้วชวนไปนั่งกินข้าว เรารู้สึกว่าสังคมกำลังกลับมา
ชีวิตชีวากลับมาที่วัดแล้ว” ปริยาภรณ์ทิ้งท้ายด้วยผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมที่สุดของโครงการนี้
ที่มา:
http://www.adaymagazine.com/articles/draft-11
https://www.youtube.com/watch?v=SapgabGhBqA
https://www.youtube.com/watch?v=3ec4GNfk448&t=23s
https://www.youtube.com/watch?v=3ec4GNfk448&t=23s
สาธุ ขอกราบอนุโมทนาบุญ กับโครงการดีๆแบบนี้ ขอให้ขยายผลต่อไป สาธุ
ตอบลบดีใจที่ชาวพุทธร่วมแรงร่วมใจที่จะพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองอยู่คู่ประเทศต่อไป ขอให้โครงการทุกโครงการประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม สาธุค่ะ
ตอบลบสาธุ ขออนุโมทนาบุญกับทีมงานทุกท่านค่ะ
ตอบลบขอให้ทำดีต่อไป ขออนุโมทนาด้วย
ตอบลบสาธุๆๆๆค่ะพระพุทธศาสนาจะได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป
ตอบลบสาธุๆๆๆค่ะพระพุทธศาสนาจะได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป
ตอบลบ